Skip to main content

blue gate crossing : ตัวตนที่ค้นหา

คอลัมน์/ชุมชน



























































ฉันไม่รู้ว่าในชีวิตนี้ฉันพลาดหนังดี ๆ ไปกี่เรื่อง แต่ทุกครั้งที่ฉันเช่าหนังที่เก่ามากแล้วที่ยังไม่เคยดูกลับมาดูที่บ้าน และปรากฏว่าหนังเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ฉันไม่น่าจะพลาดได้ ฉันมักจะนั่งบ่น นั่งกล่าวโทษตัวเองเสมอว่าถ้าเกิดไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้จริง ๆ ชีวิตนี้คงจะพลาดหนังที่ดี ๆ ไปอีกหนึ่งเรื่องเป็นแน่ ไม่รู้ว่าจะมีใครเป็นแบบนี้หรือเปล่า

 

หนังเรื่องนี้ก็เหมือนกัน ฉันเห็นหนังเรื่องนี้ตั้งแต่เข้าครั้งแรกที่โรงหนังแล้ว แต่ฉันก็ไม่คิดจะดู ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นมันจะมาปรากฏเป็นวีซีดีที่ร้านเช่าหนังแล้วก็ตาม เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะความหยิ่งและถือตัวของฉันเองนี่แหละ ฉันดูแคลนหนังเรื่องนี้อย่างหนักหนาเลยหละ ฉันเห็นชื่อเรื่อง ภาษาไทยว่า " สาวหน้าใสกับนายไบซิเคิ้ล" ฉันก็ไม่คิดที่จะดูแล้วหละ ฉันคิดว่าหนังเกาหลีเรื่องนี้ก็คงเป็นหนังรักหวานแหววเอาไว้หลอกเด็กมัธยม ก็คงเป็นแค่นั้นเอง

 










แต่พอมาวันหนึ่งวันที่ฉันรู้สึกว่าบางทีหัวใจฉันอาจจะแห้งแล้งเกินไป บางทีหนังรักหวานแหวอาจจะพอช่วยให้ฉันยิ้มได้ และผ่านช่วงร้าย ๆ ในบางเวลาได้ ฉันตัดสินใจหยิบหนังเรื่องนี้มาดู เพียงแค่ว่าฉันต้องการหนังรักวัยรุ่นน่ารัก ๆ เพื่อมาเติมความรู้สึกบางอย่างให้แก่หัวใจตัวเอง และนี่ก็เป็น บทเรียนครั้งสำคัญของฉันที่สอนฉันว่าอย่าตัดสินหนังบางเรื่องด้วยชื่อเรื่อง(ภาษาไทย ) หรือเพียงเพราะคำโฆษณาเกินจริง เพราะ







มันอาจจะทำให้ฉันพลาดหนังดี ๆ อย่างที่ฉันเกือบพลาดหนังเรื่องนี้ไปแล้ว blue gate crossing หนังที่ไม่ได้พูดถึงความรักวัยรุ่นหวานแหววอย่างที่ฉันคิดไว้เลยสักนิด แต่มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
 

blue gate crossing เป็นภาพยนตร์ไต้หวัน ที่เป็นการร่วมทุนสร้างระหว่างไต้หวันและฝรั่งเศส ซึ่งเขียนบทและกำกับโดยคนเดียวกัน คือ ยี่ ชิน เย่น ( Chin Yen Yee ) และก็ตามเคย ฉันก็ไม่รู้จักผู้กำกับคนนี้อีกเหมือนกันว่าเขาเป็นใคร โด่งดังไหม สร้างหนังเรื่องอะไรมาบ้าง หรือมีทัศนคติเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้อย่างไร แม้แต่ว่าเธอหรือเขาคนนี้จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายฉันยังไม่รู้เลย ฉันคงเป็นคนที่ชอบดูหนังที่แย่สักหน่อยที่ไม่ค่อยจะรู้ข้อมูลอะไรเลย แต่ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะเป็นข้อดีหรือข้อเสียกันแน่กับการที่ฉันรู้หรือไม่รู้ แต่ฉันชอบที่จะปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากข้อมูลมากกว่า ในการที่ฉันจะดูหนังแต่ละเรื่อง ฉันจึงไม่ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจการเล่าเรื่องของใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับเอง หรือแม้แต่ตารางบ๊อกซ์ออฟฟิศ และเหล่าบรรดานักวิจารณ์ทั้งหลาย

 

แต่อย่างหนึ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ คือหนังเรื่องนี้เป็นการร่วมทุนสร้างระหว่างเกาหลีและฝรั่งเศส ฉันไม่อยากจะเดาเลยว่า อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ด้วยรึเปล่าที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังรักธรรมดาตามขนบหนังเกาหลีอย่างที่ฉันเคยรู้จัก

 

ฉันหลงรัก ม่งเค่อเรอ หญิงสาวมัธยมในเรื่อง และฉันก็แปลกใจ เมื่อเริ่มรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้ดำเนินเรื่องอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ม่งเค่อเรอ เธอสงสัย และตั้งคำถามกับความรู้สึกของตัวเองอย่างซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เธอสงสัยว่าเธอรักหลินยู่เจิน เพื่อนสนิทของเธอหรือเปล่า หรือเธอรักเด็กผู้ชายอีกคนที่มาหลงรักเธอ จางซื่อหาว เธอไม่แน่ใจกับความรู้สึกของตัวเอง เธอคอยเฝ้าถามหัวใจ คอยหาลู่ทางในการพิสูจน์ เธอกำลังหาตัวตนของเธอ

 

ฉันรักหนังเรื่องนี้ ร้องไห้กับหนังเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่หนังที่เศร้าอะไรเลย แต่กับความรู้สึกของฉันที่สัมผัสได้ หนังเรื่องนี้ไม่ได้กำลังพูดถึงแง่มุมความรักของหญิงรักหญิง แต่มันกำลังพูดถึงเด็กผู้หญิงวัยมัธยมคนหนึ่งที่กำลังค้นหาตัวตนของตัวเอง ตัวตนในด้านความรัก ที่เธอเองกำลังสับสน และพยายามค้นหา

 

หนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกอย่างมาก และเท่าที่ฉันรู้สึกได้ หนังเล่าเรื่องด้วยความเป็นผู้หญิงอย่างเต็มตัว เล่าด้วยความละมุนละไม เรียบง่าย และซื่อตรง แต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านมายังคนดูอย่างฉันช่างรุนแรง และกินลึกเข้าไปถึงความรู้สึกข้างในมากเหลือเกิน

 

หนังเรื่องนี้ไม่ได้เล่าถึงความรู้สึกกุ๊กกิ๊กวัยหวานอย่างที่ฉันคิดไว้ แต่มันไปไกลกว่าที่ฉันคิด ฉันนั่งคิดมองย้อนไปในอดีต ความรู้สึกเช่นนี้เคยเกิดกับฉันบ้างไหม หรือฉันหลงลืมอะไรไปบางอย่าง แม้แต่ตัวตนของตัวเอง ความรักที่ปรากฏใน blue gate crossing ในทางหนึ่งมันอาจจะเป็นเพียงความทรงจำในช่วงวัยของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ตั้งคำถามกับความรู้สึกของตัวเอง ในอีกทางหนึ่งมันได้พาเราไปไกลถึงประเด็นตัวตนทางเพศที่ม่งเค่อเรอกำลังค้นหา และพาเราไปไกลกว่านั้นกับความรักของเด็กหนุ่มที่ชื่อ จาง ซื่อหาว

 

" เมื่อไหร่ที่เธอชอบผู้ชาย ให้คิดถึงฉันเป็นคนแรกนะ"

 

จาง ซื่อ หาว พูดกับ ม่งเค่อเรอ ก่อนที่เขาจะปั่นจักรยานไป ภาพของเด็กหนุ่มที่ร่าเริงต่อโลก และชายเสื้อที่ปลิวพลัดกับสายลม ยังติดตาของฉัน และม่งเค่อเรออยู่ ความรักของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หลงรักหญิงสาวอีกคน ถึงแม้เธอนั้นไม่ได้ชอบเขา และเธอก็อาจจะไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่จาง ซื่อหาวก็ได้ทำให้ฉันได้เห็น และกลับมานึกถึง ความสำคัญที่สุดของความรักคือ สุดท้ายแล้วความรักมันก็คือความรัก รักไม่ได้พิสูจน์กันแค่เพียงการจูบ หรือเดินจูงมือกันที่ริมชายทะเล แต่ความรักคือการซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกและตัวตนของตัวเอง นั่นคือรักที่ม่งเค่อเรอและจางซื่อหาว กำลังจะบอกกับฉันรึเปล่า

 

ฉันรู้สึกว่า blue gate crossing ได้พาฉันไปไกลแสนไกล พาฉันเข้าไปสำรวจความหมายของความรักที่ยิ่งใหญ่ ผ่านความรู้สึกของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ตัวตนของเธอที่เธอกำลังค้นหา ไม่ว่าในวันก่อนเธออาจจะตอบคำถามนี้กับตัวเธอ หรือกับใครอย่างไร และในอนาคตเธอจะตอบคำถามนี้อย่างไร นั่นเป็นสิ่งที่เธอกำลังค้นหา มันอาจจะยาวนาน สำหรับใครบางคนที่ต้องใช้เวลาใคร่ครวญ และหาตัวตนของตัวเอง หรือบางทีมันอาจจะเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่เราต้องใคร่ครวญถึงมัน แต่ความเรียบง่าย ลึกซึ้ง และสวยงาม ที่ม่งเค่อเรอ และ blue gate crossing ได้พาฉันไปสำรวจความรู้สึก และความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง นั่นยิ่งใหญ่พอแล้ว

 

ฉันนั่งร้องไห้ ร้องอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ ฉันไม่รู้ว่าฉันร้องเพราะอะไร มันเป็นความรู้สึกที่ระคนกันไป ทั้งความประทับใจ เศร้า สุข และความซาบซึ้งที่เกิดขึ้น แต่ที่มากกว่านั้นอาจจะเป็นเพราะข้อความบางอย่างที่ม่งเค่อเรอขีดเขียนไว้ที่เสาโรงยิม ข้อความที่อาจจะเหมือนบทสรุปรวมของเรื่องราวของเธอ และคำถามที่ยังคงเป็นปริศนากับเธอ และคนดูอย่างฉันที่เธออาจจะตั้งใจทิ้งไว้ตั้งคำถาม

 

เพราะบางทีฉันอาจะไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองเหมือนเธอก็เป็นได้ และฉันอาจจะยังร่าเริงอยู่บนโลกใบนี้ โดยที่วันนี้ฉันเองก็อาจจะยังไม่รู้ว่าแท้จริง ฉันเป็นใคร ? อยู่ที่ไหน ? และบางทีนั้นฉันอาจจะกำลังตามหามันอยู่ เหมือนอย่างที่เธอกำลังทำก็ได้นะ ม่งเค่อเรอ เพียงแต่ฉันก็อยากที่จะมีใครสักคนที่รักและเข้าใจ อย่างที่เธอมีจางซื่อหาว เด็กหนุ่มที่พิสูจน์ให้ฉันเห็นแล้วว่า ความรักมันก็คือความรัก