Skip to main content

หากินถิ่นมาเลเซีย (2)

คอลัมน์/ชุมชน


 


ยามอยู่ต่างแดนอย่างคนทำผิดกฎหมาย สิ่งเดียวที่ทำได้คือภาวนาขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้ปลอดภัย


 


ขณะที่วิ่งหนีแบบหันรีหันขวาง ไม่รู้ทิศทางที่จะไป  และกังวลว่าจะมีใครมาหยิบเอาอะไรไป  ความรู้สึกตอนนั้นทั้งตกใจ หดหู่ และต่อมาเป็นความรู้สึกตกต่ำสุดขีด อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต เมื่อเหตุการณ์สงบ จึงกลายเป็นความโกรธ โกรธผู้ประสานงานทีมนั้นที่ไม่มีความจริงใจ


 


วันนั้น ในบริเวณลานแสดงสินค้าชั้นที่หนึ่ง ของห้างซันเวย์ปิระมิด ย่านชานเมืองเคแอล ร้านรวงประมาณสามสิบบูทกำลังจัดวางสินค้า ลูกค้ายังบางตา หม้อต้มยำกุ้งยังไม่ทันเดือด แต่มีเจ้าหน้าที่ที่แต่งตัวคล้ายตำรวจ มายืนสอดส่องพวกเราจากชั้นบน ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเริ่มแสดงท่าทางผิดปกติ โดยเฉพาะคนเก่าๆ ที่รู้ดีว่าเจ้าของเครื่องแบบแบบนี้ มีอำนาจทำอะไรได้บ้าง เขาจึงมากระซิบบอกฉันและเพื่อนให้ถอยออกมาจากร้าน ทิ้งทุกอย่างเอาไว้อย่างนั้น ไม่ต้องสนใจว่าใครจะมาหยิบเอาอะไรไป  เอาตัวเองให้รอดด้วยการหลบออกมาไกลๆ ถ้าถูกจู่โจมจับตัวได้ให้ปฏิเสธว่าเป็นคนมาเที่ยว ไม่ได้มาขายของ


 


หนึ่งปีถัดมา...


แสงไฟแฟลชสว่างวาบ คนถูกถ่ายรูปตกใจหน้าเผือด ถอยกรูดไปข้างหลังสองสามก้าว ฉันต้องรีบขอโทษ แล้วบอกว่าเป็นคนไทย แวะมาที่นี่เพื่อพบกับผู้ประสานงาน (Organizer) ของเขา สีหน้าชายหนุ่มคนนั้นจึงดีขึ้น ค่อยๆยิ้มแล้วหัวเราะร่วมกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างๆกัน ฉันรู้สึกเสียใจ ตำหนิตัวเองที่มือไวไปหน่อย ตามประสาพวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านเป็นอาชีพ เขาคนนั้นจึงกลับมาสาละวนกับหม้อหุงข้าวไฟฟ้าใบใหญ่มหึมาใบนั้นตามเดิม น้ำที่เดือดพล่านขับกลิ่นเครื่องปรุงให้หอมฟุ้งไปไกล ลูกค้าจึงเนืองแน่น เหตุนี้แหละที่คนขายต้มยำกุ้งมักจะวิ่งหนีไม่ทันเมื่อมีตำรวจมาล้อมจับ


 


ขบวนสินค้าไทยที่คล้ายๆ เป็นการแสดงสินค้าเชิงวัฒนธรรมของคนกลุ่มนี้ เป็นสีสันให้กับเมืองเล็กๆ อย่างเมืองอีโปห์นี้พอสมควร ห้างขนาดกลาง มีลานแสดงสินค้าตรงชั้นล่างสุด ป้ายที่เขียนว่า "THAILAND" แขวนไว้หน้าซุ้มแบบอย่างไทยๆ ด้วยลวดลายกนกอันอ่อนช้อยงดงาม ดูโดดเด่น และสินค้าทั้งหลายที่มีความเป็นไทยโดยเฉพาะต้มยำกุ้งหม้อนั้นคือดาราของงาน คนที่ได้รับสิทธิ์ให้ขายมันได้ในทุกงานที่ออกแสดงสินค้า จึงต้องเป็นคนที่เข้าถึงผู้ประสานงาน หรือไม่ก็เป็นญาติพี่น้องของเขา เพราะรายได้ต่อวัน คิดเป็นเงินไทยแล้วไม่น้อยทีเดียว สมัยที่เพิ่งริเริ่มธุรกิจนี้ บางรายบอกว่าในหนึ่งสัปดาห์ สามารถหยิบเงินได้เฉียดล้าน ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะทุกวันนี้ ต้มยำกุ้งของไทยในมาเลเซียเป็นที่รู้จักกันดี มีอยู่กระจัดกระจายในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ


 


คนที่เรานัดพบ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีท่าทางสุขุม ดูไม่ธรรมดา ประเมินอายุไม่น่าจะเกิน 45 ปี ถ้าเขายังอยู่ในเส้นทางนี้อนาคตเศรษฐีคงอยู่ไม่ไกล และมีคนหนึ่งที่เดินตามมาคือ "มือปืน" ส่วนตัว เพื่อนฉันกระซิบบอกเบาๆ ให้สังเกตท่าทีเอาไว้ ฉันเพียงบันทึกภาพเขาสองคนไว้ในความทรงจำ แม้แต่บัดนี้ก็ยังไม่ลืมเลือน มันเป็นความทรงจำที่แปลกแปร่ง คล้ายเจอคนคุ้นเคยแต่ไม่อาจสื่อสารได้ด้วยภาษาสามัญ คล้ายๆม่านกั้นเราเอาไว้ ม่านนั้นคือผลประโยชน์ที่แน่นหนา จึงได้ขอตัวออกมาเดินเล่น จนมาพบพ่อค้าต้มยำกุ้งคนนี้เข้า ส่วนเรื่องงานค้าขายให้เพื่อนเป็นผู้เจรจาเอาเอง ฉันเป็นเพียงผู้ช่วยอยู่เบื้องหลัง


 


เบื้องหลังของเบื้องหลังอีกที คือเมื่อครั้งก่อนย้อนไปประมาณหนึ่งปี เพื่อนที่เป็นเจ้าของร้านผ้าไทย ที่ห้างใหญ่ในกรุงเทพฯ โทรฯมาปรึกษาเรื่องค้าขายที่มาเลเซีย ด้วยความคิดแบบง่ายๆสั้นๆ เมื่อเพื่อนคิดจะมาทำมาค้าขายที่นี่ แต่ยังลังเล ฉันจึงบอกว่า  "ไม่ลองไม่รู้ ไม่สู้ก็ไม่ชนะ" ฉันจึงเสนอตัวมาช่วยงานเต็มที่ ด้วยฝันเฟื่องว่าสินค้าไทยๆ น่าจะขายดี โดยเฉพาะผ้าไหมเนื้อดีสีสวยๆ ที่เพื่อนมีอยู่เป็นจำนวนมาก จะทิ้งค้างไว้ให้เก่าเก็บไปทำไม หากมีช่องทางระบายออก ความคิดง่ายๆ ผสมบ้าบิ่น เราจึงมาผจญภัยกันที่นี่ สะบักสะบอมพอสมควร


 


ครั้งที่วิ่งหนีตำรวจครั้งนั้นเราขายในห้างใหญ่ มีลูกค้าระดับบน ซึ่งขายเฉพาะสินค้าเกรดเอ และเป็นยี่ห้อดังราคาแพง แต่สินค้าหัตถกรรมไทยก็ได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะกระเป๋าสานด้วยวัสดุธรรมชาติ และงานประดิษฐ์ด้วยไม้เนื้อดีเพื่อตกแต่งบ้านชิ้นเล็กๆ จะเป็นที่นิยม อาจเป็นได้ว่า ที่นี่ สินค้าทั้งหลายค่อนไปทางงานอุตสาหกรรม ทั้งกระเป๋ารองเท้าของผู้หญิงจึงมีราคาถูกกว่าเมืองไทยมาก ออกแบบได้สวยงามทันสมัย แต่งานประดิดประดอยเช่นของไทยหาชื่นชมได้ยากมาก เราจึงได้เปรียบที่สินค้าทำมือมีความหลากหลายกว่า จึงได้มีโอกาสพบเห็นสินค้าแฮนด์เมดจากสวนจตุจักร มาขึ้นห้างดังที่นี่หลายห้าง หลายร้าน วางคู่เคียงกับงานฝีมือของประเทศอินโดนีเซีย โดดเด่นไม่แพ้กัน


 


การมาค้าขายครั้งแรกได้รับความสำเร็จไม่น้อย แต่เรากลับถูกปล่อยปละละเลยในเรื่องความปลอดภัย ทั้งที่ผู้ประสานงานจะต้องดูแลเราเป็นอย่างดี วันที่เกิดเหตุ แม้ไม่มีใครถูกจับ แต่การที่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาปรากฏกายถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ ที่ผู้ประสานงานจะต้องรับผิดชอบ แต่วันนั้นทั้งวันพวกเขาหายไปหมด วันรุ่งขึ้นที่มาเจอกัน ยังทำท่าทีว่าไม่อยากชี้แจงเรื่องนี้ ทำให้ฉันคิดว่าพวกเขาไม่มีความจริงใจให้เราเลย ทั้งที่เป็นคนไทยด้วยกัน คำสัญญาที่ให้ไว้ และเงินที่เราจ่ายไป ดูเหมือนไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง


 


ตลอดเวลาหนึ่งเดือน ที่ฉันช่วยเพื่อนขายของ ขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคนไทยที่ทำมาหากินในมาเลเซีย เหมือนละครหลายตอนจบ และฉันเองก็เฉียดฉิวเข้าไปแสดงร่วมแล้วอย่างจัง โดยเฉพาะบท "คนคุก" ในฐานะเข้าค้าขายโดยไม่มีใบอนุญาต


 


ชายหนุ่มที่กำลังตักต้มยำส่งให้ลูกค้าคนนั้น เคยถูกคุมขังมาแล้ว 5 วัน เขาบอกว่า นรกยังสบายกว่าคุกที่นี่ เงินที่ค้าขายได้กำไร ต้องนำมาซื้ออิสรภาพทั้งของตัวเองและภรรยา ถึงกระนั้นแล้ว ความกลัวคุก กลัวการเสียเงิน ก็ยังน้อยกว่าการกลับไปเมืองไทยแล้วไม่มีอะไรทำ เพราะหลังจากเศรษฐกิจฟองสบู่แตก กิจการร้านอาหารที่ชานเมืองกรุงเทพฯ ปิดตัวลง ภาระที่ต้องเลี้ยงดูลูกน้อยสองคนและการผ่อนบ้านอีกหนึ่งหลัง ทำให้เขาทั้งคู่ตัดสินใจข้ามชายแดนมาค้าขาย ตามคำชวนของเพื่อนๆ และเกาะกลุ่มไปกับผู้ประสานคนแล้วคนเล่า จนกระทั่งพบว่า ผู้ประสานงานชาวเบตงคนนี้ สามารถคุ้มครองเขาได้จริงๆ ปลอดภัยจากการรีดไถของตำรวจและสามารถหาใบอนุญาตการทำงาน (work permit) รวมทั้งการให้ความมั่นใจว่าจะมีงานออกร้านตลอดทั้งปี โดยหมุนเวียนกันไปในแต่ละเมือง ไม่ต้องเสียเวลาพักงาน ไม่ต้องใช้เงินไปอย่างสูญเปล่าในวันว่าง เพราะลำพังค่าที่พักที่เป็นห้องเช่าก็แพงเอาการ รวมทั้งค่าใช้จ่ายลูกน้องอีกสองสามคนที่ต้องดูแล เขาแค่อยากเก็บเงินสักก้อนเพื่อกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่เมืองไทย แต่อีกกี่ปีก็ยังไม่รู้จึงจะพอเก็บเป็นกอบเป็นกำ และจะกลับมาทำอะไรก็ยังไม่รู้


 


"มาแล้วถอยกลับไม่ได้ ผมเองไม่ได้ชอบชีวิตอย่างนี้หรอกนะพี่" เขาเปิดเผยความรู้สึกในเวลาต่อมา


 


การมาพบกับผู้ประสานงานคนนี้ เพราะเราไม่ต้องการเสี่ยงภัยกับการถูกจับกุม ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับความดี ความเก่ง ของผู้ประสานงาน และแน่นอนว่า ทุกอย่างต้องใช้เงิน