Skip to main content

The adventures of iron-pussy ตอนหัวใจทรนง : ยำใหญ่ใส่ความสนุก

คอลัมน์/ชุมชน





















































ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าประสบความสำเร็จได้รึเปล่า ในเมื่อไม่นานมานี้ฉันสามารถไปดูหนังที่โรงหนังได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นโรงหนังได้หรือเปล่า ก็เพราะว่ามันเป็นห้องเรียนที่ฉายหนังได้มากกว่ามั๊ง แต่อย่างน้อยมันก็เป็นการดูหนังกับคนอื่นในรอบปีของฉันก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายฉันก็นั่งดูกับเพื่อนเหมือนเดิม ไม่ใช่การไปดูคนเดียว

 

ฉันได้ไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยความบังเอิญมาก ๆ ก็เพราะว่าอยู่ดี ๆ ในขณะที่นั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับเพื่อน ๆ อยู่ก็มีใครไม่รู้ คาดว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่จัดการฉายหนังเรื่องนี้ขึ้นมาในมหาวิทยาลัย ก็เอาใบปลิวมาแจกว่าให้ไปดูหนังฟรี ในเย็นนี้ ทีแรกฉันก็รับไว้เฉย ๆ คิดว่าคงไม่ไป เพราะไม่มีใครไปด้วยแน่ ๆ เนื่องจากว่าเพื่อน ๆ ที่นั่งทานข้าวด้วยกันต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ แต่แล้วในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนอีกคนชวนไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยกัน ฉันจึงสบโอกาสได้มีเพื่อนไปด้วย เพราะถ้าจะให้ไปนั่งดูคนเดียว ฉันก็กลัว ไม่กล้าไปแน่ ๆ

 

อีกสาเหตุหนึ่งที่ฉันไม่อยากไปดูหนังเรื่องนี้ ก็เพราะว่าในใบปลิวที่แจกเขียนว่า
" เชิญเด็กแนวชมหนังแนว " และยังสำทับไปอีกว่า " พบกับผู้กำกับแนวแถวหน้า "
ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นเด็ก " แนว " หรือเปล่า เพราะฉันไม่รู้ว่าเด็กแนวที่เขาพูดถึงในสมัยนี้มี " สารัตถะ " อะไรบ้าง ที่ตัวฉันพอจะเอาตัวเองเข้าไปเกาะเกี่ยวเพื่อที่จะไปดูหนังเรื่องนี้ได้ ฉันจึงคิดว่าตัวเองคงจะเป็นพวกที่ไม่เข้าพวก ก็เลยพลอยให้ไม่อยากไปดู " หนังแนว " สักเท่าไหร่ เพราะฉันคงไม่ใช่ " เด็กแนว "

 

และอีกประการต่อมาก็เพราะว่า " ผู้กำกับแนวแถวหน้า " นั่นเอง ที่ฉันคิดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าฉันไม่ยอมรับในฝีมือของผู้กำกับอย่าง คุณเจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เรื่องฝีมือของเขาน่ะ ฉันยอมรับโดยดุษฎี (หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบแล้วนะ) แต่การที่ใครไม่รู้มาจำกัด " แนวของหนัง " หรือ " แนวของคนดู " แล้วก็สถาปนา " ผู้กำกับแนว " ขึ้นมา มันอาจจะทำให้คนอย่างฉันและอีกหลายคน (ที่คิดมากไปสักหน่อย) ที่คิดว่าตัวเอง " ไม่เข้าพวก " กลัวที่จะเอาตัวเองเข้าไปแปลกปลอมด้วย

 

และอีกประการต่อมาก็เพราะว่า " ผู้กำกับแนวแถวหน้า " นั่นเอง ที่ฉันคิดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าฉันไม่ยอมรับในฝีมือของผู้กำกับอย่าง คุณเจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เรื่องฝีมือของเขาน่ะ ฉันยอมรับโดยดุษฎี (หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบแล้วนะ) แต่การที่ใครไม่รู้มาจำกัด " แนวของหนัง " หรือ " แนวของคนดู " แล้วก็สถาปนา " ผู้กำกับแนว " ขึ้นมา มันอาจจะทำให้คนอย่างฉันและอีกหลายคน (ที่คิดมากไปสักหน่อย) ที่คิดว่าตัวเอง " ไม่เข้าพวก " กลัวที่จะเอาตัวเองเข้าไปแปลกปลอมด้วย

 

และฉันก็มีประสบการณ์จากหนังทั้งสองเรื่องที่ผ่านมาของคุณเจ้ยไม่ค่อยจะดีนัก ฉันอาจจะเป็นนักเขียนถึงหนังที่ค่อนข้างจะแย่ เพราะว่าไม่สามารถวิเคราะห์หนังได้อย่างเป็นฉาก ๆ เหมือนกับที่ผู้อ่านหลาย ๆ คนผิดหวัง และคิดว่าคอลัมน์นี้ช่างไม่เหมาะกับเว็บนี้เสียเลย ฉันอาจจะดูหนังของคุณเจ้ยจบแล้วไม่สามารถเขียนถึง " อย่างเป็นวิชาการ " ได้อย่างที่คอลัมน์ดูหนังหลังจอทำ แต่นี่แหละคือหนทางที่ฉัน " เลือก " เขียน เพราะฉันมีความสุขกับการดูหนังแบบนี้มากกว่า

 

ที่ฉันบอกว่าฉันมีประสบการณ์เกี่ยวกับหนังของคุณเจ้ยทั้งสองเรื่องไม่ค่อยจะดีนัก ก็เพราะว่า ในเรื่องแรก สุดเสน่หา และเรื่องที่สอง สัตว์ประหลาด (ที่พี่ภาสเขียนในคอลัมน์ดูหนังหลังจอ ฉันถึงร้องว่า อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง) ฉันสารภาพตามตรงว่า ฉันดูแล้วรู้เรื่องนะ แต่ไม่เข้าใจ แต่บางทีการดูหนังมันอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ใช่ไหม เหมือนอย่างที่คุณเจ้ย หรือนักวิจารณ์ออกมาพูดว่า ถ้าจะไปดูหนังเรื่องสัตว์ประหลาดให้ทุกคนเปิดใจให้กว้าง ให้ทำใจให้สบาย ๆ ก็พอ แล้วก็ปล่อยอารมณ์ไปตามเรื่องราว พูดง่าย ๆ ก็คือไม่ต้องไปคิดมากมั๊ง ฉันไม่แน่ใจว่าการที่หลาย ๆ คนรวมทั้งฉันด้วย ดูหนังคุณเจ้ย (ในสองเรื่องแรก ) ไม่รู้เรื่อง หรือไม่เข้าใจ เป็นเพราะเหมือนที่คุณเจ้ย บอกไว้ในบทสัมภาษณ์หรือเปล่าว่า เพราะว่าพวกเรา (ที่ดูไม่รู้เรื่อง) ชินกับการเล่าเรื่องแบบฮอลลีวู๊ด คือต้องมีต้นเรื่อง ไคล์แมกซ์ และตอนจบ นี่อาจจะเป็นความจริงอยู่บ้าง

 

แต่เป็นความผิดของคนดูอย่างฉันเหรอ ที่ดันไปดูหนังที่มันใช้วิธีที่เล่าเรื่องที่แปลกออกไป หรือว่าเป็นความผิดของผู้สร้างเอง ที่ทำไมไม่เล่าเรื่องอย่างที่จะทำให้พวกฉันเข้าใจ เพื่อที่จะเรียกร้องให้คนอย่างพวกฉันไปดูศาสตร์อันเป็นศิลปะอันลึกซึ้งที่ผู้สร้างบรรจงทำขึ้นด้วยสมองอันชาญฉลาด และที่น่าสงสัยสำหรับฉันอีกอย่างก็คือ ในตอนที่หนังเรื่องสัตว์ประหลาดเข้าโรงฉาย กับการที่ทั้งผู้สร้างเอง และนักวิจารณ์ทั้งหลายออกมาสร้าง " คู่มือ " การไปดูหนังเรื่องนี้ให้คนดูว่า " จงเปิดใจ " นี่ สุดท้ายมันก็เป็นการล้อมกรอบคนดูอีกหรือเปล่า? เพื่อที่จะชี้ทางบางอย่างว่าถ้าจะดูหนังแบบนี้ต้องใช้วิธีการแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ผู้สร้างเองก็บอกอีกอย่างว่าแล้วแต่ใครจะตีความ (แต่สุดท้ายก็ควรจะตีความได้หรือใกล้เคียงอย่างที่พี่ภาสได้เขียนเอาไว้ใช่ไหม?) หรือว่าป้องกันความผิดของตนจากการดูไม่รู้เรื่องจากคนอย่างพวกฉัน เพราะฉันเองที่ไม่ " เปิดใจ " เอ๊ะหรือว่าใครกันแน่ ?

 





ฉันไม่ได้มีอคติกับใครทั้งสิ้น เพียงแต่ฉันค่อนข้างจะสับสนกับบรรดาอะไรๆที่เป็น " แนว " ทั้งหลาย กลับมาที่หนังเรื่องนี้ The adventures of iron-pussy ตอนหัวใจทรนง ก่อนที่ฉันจะเลยเถิดไปไกล ก่อนที่ฉันจะได้ดูก็มีการพูดถึงความดีอีกร้อยประการของหนังเรื่องนี้ ซึ่งฉันก็อดมีอคติไม่ได้อีกแหละว่าถ้าหนังมันดีจริงทำไมไม่ให้คนดูอย่างฉันตัดสินเอง แต่พอดูหนังจบ หนังเรื่องนี้ดีจริง ๆ แฮะ ดีมากกว่าที่เขาเอ่ยอ้างสรรพคุณมาเสียอีก และที่ฉันทึ่งมากกว่านั้นก็คือ เขาบอกว่าเรื่องนี้ใช้งบประมาณแค่ 350,000 บาท (สามแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) แต่คุณภาพของหนังไม่รู้ว่ามากกว่าทุนสร้างกี่เท่าต่อกี่เท่า




 

ปรกติฉันไม่ค่อยจะดูหนังตลกเสียเท่าไหร่ เพราะฉันไม่เคยขำได้กับหนังตลกเสียที แต่กับหนังเรื่องนี้ฉันหยุดหัวเราะไม่ได้เลย หนังเรื่องนี้กำลังล้อเล่นกับทุกอย่าง เสียดสีกับทุกเรื่อง ถ้าจะให้เขียน " อย่างเป็นวิชาการ " เพื่อที่จะวิเคราะห์หนังเรื่องนี้ คงได้ตั้งแต่ประเด็นเรื่องศาสตร์ของการทำหนัง จนเลยไปถึงประเด็นทางสังคมอย่างเรื่อง Gender ซึ่งผู้สร้างก็ออกตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่านี่ไม่ใช่หนังกะเทย หรือหนังเกย์ ซึ่งฉันก็เห็นด้วยเป็นที่สุด แต่ตัวหนังนั้นล้อเล่น และเย้ยหยันไปถึงประเด็นนี้ตั้งแต่ชื่อเรื่องจนถึงการวาง character ของตัวแสดงเลยทีเดียว ซึ่งฉันเห็นว่าคมคายและแสบสันต์เสียจริง และที่สำคัญมันทำให้หนังเรื่องนี้สนุกและขบขันโดยตรงและปริยายไปเลย

 

เรื่องราวของหนังเรื่องนี้หากจะให้เล่าอย่างย่อนั้นเน่ายิ่งกว่านวนิยายเรื่องใด ๆ เชียวแหละ มิหนำซ้ำหนังเรื่องนี้ยังนำเสนอด้วยความเป็นเมโลดราม่า ซึ่งทั้งเป็นการเพิ่มน่าสนใจและล้อเล่นกับประเด็นอีกร้อยแปดพันเก้าที่ยำใหญ่ใส่ไว้ในหนังเรื่องนี้อย่างแนบเนียนและเข้ากันเป็นรสชาติที่ " แซบ " มากทีเดียว หากจะเปรียบหนังเรื่องนี้เป็นอาหารสักจาน ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้คงจะเป็นยำใหญ่จานเด็ดสักจานที่รวมทุกรสชาติเข้าไว้ด้วยกันอย่างจัดจ้านและเผ็ดร้อนเป็นที่สุด และที่สำคัญดูรู้เรื่องด้วยนะ

 

ฉันนั่งดูหนังเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกที่แปลกออกไปจากสองเรื่องแรกของผู้กำกับคนนี้ และดูด้วยความสนุกสนานอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้รับจากหนังเรื่องนี้ตามที่คิดไว้ตั้งแต่แรก ไม่เพียงแค่นั้น ฉันยังรู้สึกว่าฉันเข้าใจในหลาย ๆ เรื่องและในหลาย ๆ ประเด็น ทั้งที่อาจจะเกิดจากความตั้งใจ และความไม่ตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการสื่อสารใน " ประเด็น " หลาย ๆ ประเด็นที่แทรกในทุก ๆรายละเอียดของหนังอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งเป็น " ประเด็น " แบบที่นักดูหนัง " แนว " หรือนักวิจารณ์ " แนว " ทั้งหลายชอบกัน ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะฉันดูหนังเรื่องนี้ " รู้เรื่อง " หรือเปล่า หรือว่าอาจจะเป็นเพราะฉัน " เปิดใจ " กันแน่ ?

 

แต่ที่ฉันแน่ใจก็คือ หนังเรื่องนี้สนุกและน่าดูที่สุดในโลก และฉันก็อยากจะชวนใครหลาย ๆ คนดูด้วยกัน เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างเหมือนกับฉัน ลองมาพิสูจน์ด้วยกันไหม ?