Skip to main content

ตราบดวงตะวันแห่งความหวังยังฉายแสง

คอลัมน์/ชุมชน


 


บ้านเกิด เพื่อน จดหมายเก่า...


สามสิ่งนี้มักเข้ามาเยือนโดยไม่รู้ตัว


ในวันที่ชีวิตคว้าง เหงา โดดเดี่ยวไม่มีใคร


บ่อยครั้งคนเราจึงมักถวิลหา...


 


เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมหวนกลับไปบ้านเกิดอีกครั้ง บ่ายนั้น, ผมขลุกอยู่ในห้องหับของตัวเอง นั่งรื้อค้นลังหนังสือที่ซ้อนทับกันไว้อยู่ใต้ชั้นวางหนังสือ เจอกองจดหมายเก่า ๆ วางซ้อนทับอยู่ในกล่องกระดาษนั้นเต็มไปหมด ผมหยิบออกมานั่งอ่าน แล้วอดนึกถึงภาพผ่านในอดีตเหล่านั้นไม่ได้


 


ผมเจอจดหมายฉบับหนึ่ง เป็นแผ่นกระดาษสีซีดเหลือง ตัวหนังสือเริ่มลางเลือน... เป็นของเพื่อนรักคนหนึ่ง อ่านแล้วอดนึกเขาไม่ได้...เพื่อนคนนี้ถูกความจนเหวี่ยงเขาออกมาจากบ้านเกิด จากบ้านมะต้อง อำเภอพรหมพิราม พิษณุโลก เขาเคยเล่าให้ผมฟังว่า พอจบ ม.3 แม่ห่อเสื้อผ้าให้ ก่อนบอกกับเขาว่า- -"ไป เอ็งต้องออกไปเรียนรู้โลกข้างนอก ขืนอยู่ที่นี่ คงไม่พ้นไอ้ชาวนา !..."


 


เขาตัดสินใจนั่งรถขึ้นเหนือ ไปบวชเรียนที่วัดพระธาตุนางแล อำเภอพร้าว เชียงใหม่


ระหว่างนั้นเขาเรียน กศน.ไปด้วย และชอบขีดเขียน วาดรูปในยามว่าง


กระทั่งสึกออกมาเรียนต่อวิทยาลัยครูเชียงใหม่ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย


เราเรียนอยู่ห้องเดียวกัน...


 


จำได้ว่า ตอนนั้นเราทำงานด้วยกันที่โรงเรียนสอนคนพิการทางสมองแห่งหนึ่ง มีหน้าที่หาเงินเข้ามูลนิธิช่วยเหลือเด็กเหล่านั้น แต่สุดท้ายเราพากันขบถลาออกพร้อมกัน เนื่องจากรู้ข่าวว่า ผู้บริหาร ครูในยุคนั้น เอาเงินมูลนิธิบินไปเที่ยวเมืองจีนในช่วงปิดเทอม


 


ผมยังจำความรู้สึกของการตกงานครั้งแรก


ภาพของผู้บริหาร ครู ที่ยิ้มเย้ยหยันยังเห็นเด่นชัด...


และยังจำรสชาติของการขบถครั้งนั้นได้ดี


ภาพที่เราอดมื้อกินมื้อ กินไข่ต้มใบเดียวแกล้มน้ำตาในครานั้น...


 


ครั้นจบวิทยาลัยครู เราต่างแยกย้ายกันไปคนละทาง- - ผมเลือกไปเป็นครูดอยเขตอำเภอเวียงแหง ติดชายแดนไทย-พม่า อยู่กับโลกของเด็กน้อย อยู่โลกของธรรมชาติ ส่วนเขาเลือกลงไปอยู่ในโลกของอุตสาหกรรม ทำงานที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ศรีราชา ชลบุรี


 


แหละนี่เป็นจดหมายฉบับแรกของเขา ที่ชาวบ้านลีซูถือขึ้นไปส่งสารถึงผม เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา...


 






 


ศรีราชา ชลบุรี


 


เพื่อนรัก...


 


เกือบสี่เดือน ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ กับที่ทำงานและที่อยู่ใหม่ มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป เวลาที่อะไรมันผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เราได้บทเรียนอะไรหลาย ๆ อย่าง ฝึกชีวิตให้แกร่งและเข้มแข็งขึ้น


 


เพิ่งไปงานแต่งงานพี่ชายที่ทำงานที่ชลบุรี กลับมาถึงหอพัก เข่าแทบทรุด ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง อันตรธานหายไปหมด ทั้งทีวี ซาวด์อะเบาท์ และอื่น ๆ ข้าวของถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย โกรธจนตัวสั่น...แค้นมาก...


 


สักพักสติกลับคืนมา...ช่างมัน ถือซะว่าไม่ใช่ของ ๆ เรา ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน เป็นสิ่งที่เรามนุษย์ปุถุชนปรุงแต่งมันขึ้นมา มันอยากได้ก็ให้มันเอาไป ยังมีเรี่ยวแรง ยังมีปัญหาได้ใหม่ ลองอยู่แบบไม่ต้องรับรู้ข่าวสารจากโลกภายนอกอันวุ่นวายดูบ้าง...จะตายมั้ย ! เลิกงานขึ้นห้อง เขียนหนังสือ อ่านหนังสือ วันไหนเหนื่อยก็นอน สบายไปอีกแบบ


 


ในยามนี้ คิดถึงเพื่อนเป็นที่สุด อยากกลับมาใช้ชีวิตที่นี่อีกครั้ง หรือจะเป็นที่บ้านพิษณุโลกก็ได้ กลับไปทำการเกษตรแบบผสมผสาน พออยู่พอกิน เหลือก็เอาไปขาย เพราะที่ไร่ที่นามีเยอะ ได้อยู่กับพ่อแม่ซึ่งนับวันแก่ชราภาพลง และจะละสังขารไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...กลัวนะ...กลัวไม่ได้อยู่ทันร่ำลาท่าน...ขอบคุณที่ให้ชีวิตแกเรา รักแม่ทุกวันอยู่แล้ว ไม่เฉพาะกับวันแม่...พยายามส่งเงินไปให้ท่านทุก ๆ เดือน


 


คิดว่าคนเราเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง เราจะกลับไปมีสภาพเดิม คือทำเกษตร ให้พออยู่พอกิน จึงจะประคองชีวิตให้พ้นจากมรสุมเศรษฐกิจในยามนี้ได้  ปัจจุบันถ้ารัฐบาลให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในประเทศ โดยถือหุ้นได้มากกว่าร้อยละ 49 เปอร์เซ็นต์ ตามที่รัฐบาลกำหนด นั่นหมายความว่า ต่อไปเราจะเป็นขี้ข้าต่างชาติให้มันชี้นิ้วใช้งานได้ตามใจชอบ รัฐบาลจำเป็นต้องยอมเพื่อต้องการให้เศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันนี้ที่ทำงานของเราก็เป็นอย่างนี้ คนต่างชาติเป็นเจ้านาย มันชี้นิ้วใช้งาน...เราไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็น อีกหน่อยเราจะไม่มีที่ซุกหัวนอน !


 


ชีวิตบนดอยเป็นอย่างไรบ้าง เจอกับปัญหาเดิม ๆ หรือเปล่า ก็ยังดีอย่างน้อยก็ได้อยู่กับเด็ก ๆ ได้อยู่กับธรรมชาติ ถ้านายได้ย้ายเมื่อไหร่ก็บอกด้วยแล้วกัน เพราะสิ้นปีนี้อาจจะได้ขึ้นมาหานาย คงอยู่ด้วยกันสักคืนสองคืน เช่ามอเตอร์ไซค์ออกทางแม่แตง แม่มาลัย ไปทางแม่ฮ่องสอน แล้วกลับมาทางดอยอินทนนท์ อย่างที่นายเคยไปไง เพราะตั้งใจไว้นานแล้วว่า จะต้องหาโอกาสไปแบบนี้บ้าง


 


คงได้อ่านข่าวคราว หรือกวีจากนายบ้าง เรื่องวาดภาพประกอบหนังสือ ไม่มีปัญหา แต่มีข้อแม้ว่า...นายต้องลงไปส่งต้นฉบับด้วยตัวเองว่ะ...


 


                                                                    รักเพื่อน.


                                                                         ธีระ


 


 


 


ผมอ่านจดหมายของเพื่อนฉบับนี้แล้ว ทำให้เห็นภาพอดีตทั้งชื่นสุขทุกข์เศร้าลอยวนไปมาอยู่ใกล้ ๆ  จำได้ว่า ผมตอบจดหมายเป็นกลอนเปล่าส่งไปให้เพื่อนคนนี้...


 


ตราบดวงตะวันแห่งความหวังยังฉายแสง


 


ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดี, มิตรสหาย


ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนไหน


จากเมืองมัวหม่น ดงดอย หรือเวิ้งทะเลกว้าง


เถิดเฝ้ามองดูดวงตะวันลาลับขอบฟ้า


จิตนิ่ง, และนึกทบทวนการกระทำที่ผันผ่านมา


มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก สำหรับการแสวงหาและเรียนรู้


เพื่อค้นหาจิตวิญญาณ ตัวตน เสรี


 


ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดี, มิตรสหาย


มันไม่แปลกอะไรใช่ไหม...


กับสิ่งที่เราตั้งใจกลับกลายเป็นความผิดพลาด


สิ่งที่เราคุ้นเคยกลับกลายแปลกแยกแตกต่าง


มันไม่แปลกอะไรใช่ไหม...


เมื่อเรามอบความรักให้ แต่สิ่งที่ได้รับคือความเกลียดชังคลั่งแค้น


เราแสวงหาความจริง ทว่ากลับพบแต่ความเล่ห์หลอกจอมปลอม


 


ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดี, มิตรสหาย


ในโลกของเธอ ในโลกของฉัน


เราต่างมีภาระ พันธะผูกพัน


เรียนรู้ถึงผลของการแก่งแย่ง- -การแจกจ่าย


แต่เราก็ยังหวังไว้ว่าสักวันหนึ่ง


ความถูกต้องและความดีงามจักกลับคืน


คืนสู่โลกของเธอ โลกของฉัน


 


ฉันเข้าใจในความรู้สึกของเธอดี, มิตรสหาย


ยิ้มรับกับความหวังครั้งใหม่เถิด


ตราบใดดวงตะวันไม่เคยดับ


ความหวังย่อมไม่ดับเช่นกัน


ยังคงฉายแสงส่องสู่เธอ- -สู่ฉัน


ทุกเช้า.


 


                                    ภู เชียงดาว.