Skip to main content

หากินถิ่นมาเลเซีย (3)

คอลัมน์/ชุมชน


 


อาศัยคุณงามความดีและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษมาทำมาหากินในต่างแดนอย่างผิดกฎหมาย  ก็นับว่าน่าอดสูใจแล้ว  ควรจะพยายามรักษาคุณค่าของตนเองด้วยความจริงใจในการทำงาน เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของเราเอาไว้ อย่าให้เป็นเพียงแค่การไล่ล่าหาเงินเพียงอย่างเดียวเลย


 


งานที่ผิดกฎหมายแต่รายได้ดี เรื่องราวแบบนี้ คงคล้ายๆ เพื่อนบ้านเราที่ลักลอบเข้ามาทำงานในบ้านเรา แต่คนไทยยังนับว่าได้อาศัยบุญบารมีเก่าของบรรพบุรุษ เพราะเราขายฝีมือฝีเท้า ไม่ได้มาขายแรงงานไร้ฝีมือ ที่รับเงินตามอัตราจ้างขั้นต่ำ ในมาเลเซียวันละแค่  50 เหรียญ หรือ 500 บาทไทย แต่เรารับเงินมากกว่านั้นหลายเท่า


 


อาชีพที่ว่าต้องใช้ความชำนาญทั้งมือและเท้า และเป็นอาชีพที่ไม่มีทางได้ใบอนุญาต คือนวดแผนไทย (นวดแบบเชลยศักดิ์ใช้เท้าช่วยได้ แต่นวดแบบราชสำนักใช้มือได้อย่างเดียว) แต่กลับมีคนเข้ามาทำกินกันคึกคัก เก็บเงินกลับบ้านได้เป็นกอบเป็นกำกว่าอาชีพอื่นๆ แค่เดินเข้ามาแล้วเดินออกไป ไม่ต้องแบกหามข้าวของ ไม่ต้องขนส่งสินค้าให้วุ่นวาย เจ้าของธุรกิจที่เป็นลูกพี่ใหญ่อาจต้องลงทุนด้วยเงินก้อนโต เพราะค่าเช่าที่จะสูงถึงเดือนละ 300,000 บาท เหมารวมการจัดตกแต่งสถานที่ให้เป็นสัดส่วน คล้ายห้องนวด กลางลานที่เคยโล่งๆ กลางห้างสรรพสินค้า ลงทุนเพิ่มเพียงเตียงนวด เก้าอี้นวดตามสไตล์ตนเอง น้ำมันนวดบางชนิดสามารถซื้อวัตถุดิบได้ในห้างนั้น เอามาปรุงใหม่ใส่เครื่องหอมแบบไทยๆ เพิ่มเติม แค่นี้ก็หรูหราแล้ว


 


เมื่อคิดจะเลิกกิจการ ขายเก้าอี้นวดแบบราคาถูกๆ ก็ไม่ขาดทุน แต่จำนวนหมอนวดจะต้องไม่ต่ำกว่าสิบคน ให้มีมากถึงยี่สิบคนยิ่งดี  เพราะค่านวดตัวชั่วโมงละ  600 บาทไทย ในหนึ่งวันถ้าหมอนวดได้นวดถึง 10 คน หักค่าจัดการให้เจ้าของธุรกิจแล้ว ยังเหลือเงินไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แค่เดือนเดียวได้เงินกลับบ้านหลายหมื่น จากคำบอกต่อ หลายคนจึงอยากมา บางรายโชคดีได้ทำเลดีตั้งแต่งานแรกถอนทุนคืนทันที บางรายโดนหักหลังด้วยกลเกมของกฎหมาย ถูกตรวจค้นถามหาใบอนุญาตการทำงาน ซึ่งหมอนวดอาจจะมี แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ใบอนุญาตให้มานวด แต่เป็นงานอื่นๆ เพื่อป้องกันเวลาโดนตรวจทั่วๆ ไป อย่างน้อยใบที่ว่า ราคาจ่ายไม่ต่ำกว่าสามหมื่นบาทต่อปี และใช่ว่าจะหามาได้มาง่ายๆ


 


อะไรๆ จึงไม่ง่ายอย่างที่คิด คนทำธุรกิจนวดแผนไทย ควรสำนึกบุญคุณบรรพบุรุษให้มากๆ เพราะนั่นคือภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจนลูกหลานสามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง หรือร่ำรวยได้ในยุคปัจจุบัน ยุคที่คนมีเงินรู้จักรักษาตัวหลากหลายวิธี เพราะสมัยก่อนการเป็นหมอนวด หมอจับเส้น ต้องมีจิตใจสูงส่งเสียสละจึงจะทำงานนี้ได้ เพราะค่าครูค่าคายแต่ละครั้งไม่เกินสามบาท แม้ต่อมาจะเพิ่มค่าขึ้นบ้างเพื่อความเหมาะสมแต่ไม่มากจนกระทั่งคนจนไม่สามารถรับการรักษาได้


 


รุ่นหลังๆ ต่อมา ด้วยกระบวนการขายบริการทุกรูปแบบ นับตั้งแต่ขายบริการการท่องเที่ยว ขายบริการสุขภาพ การนวดแผนไทย ถูกเรียกเสียใหม่ว่า "หัตถเวช" หรือ "หัตถบำบัด" คนทำหน้าที่นวดถูกลดบทบาทลงเป็นเพียงเครื่องบำบัด ไม่ว่าจะบำบัด ความเบื่อหน่าย ความซึมโศก ความเมื่อยล้าปวดเมื่อย แม้ว่าคนๆ นั้นจะเก่งกาจถึงขั้นสามารถรักษาอาการผิดปกติของร่างกายได้ แต่คุณค่ามีอยู่ก็เป็นแค่ "พนักงานนวด" หาใช่หมอนวดไม่ เพราะว่า ในสปาหรูหรา มีกฎว่าให้ทำหน้าที่นวดเพียงอย่างเดียว ห้ามพูดคุยกับแขก ถ้าแขกไม่ถามไม่ต้องพูด ดูแล้วคล้ายๆ คนรับใช้ที่ดี ที่รู้กาลเทศะ ทั้งที่สิ่งที่พวกเขาทำอยู่ มีคุณค่ามากกว่านั้น


 


ในเมืองไทยคนที่เก่งจริง ต้องการทำงานอิสระ มีสถานบริการเป็นของตนเอง ต้องผ่านด่านกฎหมายหลายด่าน หมอนวดสูงวัยจึงต้องเป็นหมอนวดเถื่อนกันทั้งประเทศ  และถ้าคิดจะไปทำงานในสถานบริการสุขภาพ ต้องถือใบประกาศนียบัตรที่แสดงว่าผ่านการอบรมมากี่ร้อยชั่วโมง จึงจะสมัครงานเป็นพนักงานนวดได้ คุณสมบัติต่อมานอกจากจะต้องหุบปากเป็นแล้ว ต้องสาวและสวยด้วย


 


ที่เห็นในมาเลเซีย จึงมักจะเป็นหมอนวดเชี่ยวชาญทั้งในฝีมือและเรื่องอื่นๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า "เขี้ยว" การทำมาหากินเป็นหมอนวดในประเทศนี้ ผิดกฎหมายร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทำไมพวกเขาจึงอยู่กันได้ คำตอบง่ายนิดเดียว เพราะคนมาเลเซียชอบถูกนวด โดยเฉพาะผู้หญิงจีนสูงวัยที่ไม่มีงานจะต้องทำ อยู่บ้านไปวันๆ ให้ลูกหลานเลี้ยง เธอจึงมีเงินมีเวลามานวดได้ทุกวัน เรียกว่าจองชั่วโมงประจำกับหมอนวดคนประจำเอาไว้ทีเดียว ในขณะที่นวดเธอจะชวนคนนวดพูดคุย รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะใช้ภาษาจีนนิดอังกฤษหน่อย ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ผลออกมาเป็นเลิศเพราะมิตรภาพที่มี คือสิ่งที่เธอต้องการ


 


ยุคแรกๆ หมอนวดกลุ่มแรกๆ ได้รับการชมเชยว่าทำงานอย่างมีหัวใจ รุ่นต่อมา ทำงานแบบสักแต่ว่าให้ชั่วโมงผ่านไป ออมแรงไว้เผื่อชั่วโมงหลังๆ เพื่อจะได้เงินเยอะๆ นี่คือเสียงสะท้อนของเพื่อนชาวมาเลย์ ที่รักการถูกนวดคนหนึ่ง


 


อยากได้เงินเยอะๆ หูตาต้องไว สถานที่ที่ทีมทำนวดอยากไปทำมากที่สุด คือที่เกนติ้ง เมืองขายฝันคนชอบเสี่ยงโชค ส่วนใหญ่จะนั่งลุ้นยืนลุ้นกันเป็นวันๆ คิดดูนะว่า บนนั้นมีห้องพักที่เป็นโรงแรมใหญ่ๆ ระดับห้าดาว ไว้รองรับนักการพนันหลายแห่ง ห้องพักแต่ละโรงแรมไม่ต่ำกว่าห้าร้อยห้อง ไม่ได้คำนวณเพื่อการนี้อย่างละเอียด แต่ในพื้นที่อันกว้างใหญ่บนยอดเขาสูง มีอาคารสูง มีลานจอดรถรองรับผู้คนได้วันละไม่ต่ำกว่าแสนคน ครึ่งหนึ่งที่มาค้างอ้างแรมเพื่อเล่นการพนัน นักพนันอาชีพต้องปวดเมื่อย จึงมาจองคิวไว้แน่น หมอนวดไม่ต้องกลัวว่าจะนั่งหง่าว แต่ราคาเช่าที่ก็แพงขึ้นไปอีกตามการแข่งขัน ที่นั่นไม่เฉพาะหมอนวดไทยหรอกนะที่รู้จักไปทำเงิน หมอนวดแผนจีนจากแผ่นดินใหญ่ก็ตั้งทีมประจันหน้าเช่นกัน นับวันการแข่งขันยิ่งสูงขึ้น การจ่ายใต้โต๊ะยิ่งต้องจ่ายมากขึ้น จ่ายไปแล้ววันดีคืนดีคุณตำรวจตรวจคนเข้าเมืองยังแอบปลอมตัวมานวด นวดเสร็จก็ขอจับกุมขอค่าปรับ หัวหน้าทีมต้องจ่ายเพิ่มเติม ทีนี้ล่ะ ทีมผู้ประสานงานที่รับเงินไปแล้วต้องมาแก้ตัวเอาเองว่าทำไมจึงคุ้มครองไม่ได้ ไหนบอกว่าเข้าถึงคนใหญ่คนโตในหน่วยงาน เมื่อโดนหักหลัง หัวหน้าทีมแก้ลำด้วยการจ้างคนมาเลเซียเชื้อสายจีนมาทำหน้าที่ผู้จัดการ นั่งรับแขก หากโดนจับจริงๆ อย่างน้อยการอ้างว่าเป็นธุรกิจของเขาเอง การจ่ายค่าปรับก็ยังต่อรองกันได้


 


วิธีการแอบๆ แบบนี้ไม่รู้ใครใช้ก่อนใคร แต่มันลุกลามถึงกันไปหมด คิดแล้วสะท้อนใจ คำว่าการนวดไทยที่ลือเลื่องไปไกล ควรจะมีคำว่า "ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นไทย" ห้อยท้ายไปด้วย ด้วยกระบวนการความสัมพันธ์ทางการค้าที่ถูกต้องตามกฎหมายจึงจะควร


 


ยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แม้ฉันจะยังจำคำพูดของครูบาอาจารย์รุ่นก่อนเก่า ที่ท่านเคยบอกว่า


 


"ฉันไม่เคยออกเดินไปหาคนนวด คนที่ต้องการนวด จะต้องมาหาฉันเอง"