Skip to main content

ต้องทำใจ

คอลัมน์/ชุมชน

Just When I Needed You Most


( by Randy Vanwarmer )


 


You packed in the morning, I stared out the window


And I struggled for something to say


You left in the rain without closing the door


I didn't stand in your way.


 


But I miss you more than I missed you before


And now where I'll find comfort, God knows


'Cause you left me just when I needed you most


Left me just when I needed you most.


 


Now most every morning, I stare out the window


And I think about where you might be


I've written you letters that I'd like to send


If you would just send one to me.


 


'Cause I need you more than I needed before


And now where I'll find comfort, God knows


'Cause you left me just when I needed you most


Left me just when I needed you most.


 


You packed in the morning, I stared out the window


And I struggled for something to say


You left in the rain without closing the door


I didn't stand in your way.


 


Now I love you more than I loved you before


And now where I'll find comfort, God knows


'Cause you left me just when I needed you most


Oh yeah, you left me just when I needed you most


You left me just when I needed you most.


 


http://www.youtube.com/watch?v=jJNwLS_S9ZI&NR=1


http://www.youtube.com/watch?v=XeeMDGq1FMI&NR=1


http://www.youtube.com/watch?v=cpGFwJbJhIw&mode=related&search=


 


 


วันสองวันมานี้ ผู้เขียนเหนื่อยกับงานที่ทำอย่างมากเพราะสอนกว่า 24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ความยากของงานนั้นไม่มีแต่อย่างใด แต่ที่มีปัญหาคือเหนื่อยใจกับสิ่งที่ประกอบกันเป็นงาน รู้สึกเหมือนว่ากำลังต่อสู้กับสิ่งที่ไม่สามารถเอาชนะได้เลย บางครั้งก็ถามตนเองว่า นี่รึเปล่าที่เรียกว่า "ท้อ"


 


กลับมานั่งคิดถึงช่วงนี้เมื่อปีที่แล้ว เป็นช่วงที่ยังอยู่สหรัฐฯ ใกล้ๆจะลาออกและกลับมาประจำการที่ประเทศไทยอีกครั้ง ตอนนั้นบอกกับตนเองว่าจะไม่คาดหวังกับงานหรือกับสิ่งแวดล้อมในไทยมากนัก แต่จะทำเท่าที่ทำได้ หากไม่ได้ผลอะไรก็จะทำใจให้ได้มากที่สุด


 


เมื่อเช้านี้ฟังเพลงฝรั่งทางออดิโอซีดีที่มีอยู่ นึกถึงเพลง Just When I Needed You Most เพราะตอนที่อยู่สหรัฐฯ ก็ฟังเพลงนี้บ้างตอนไม่มีอะไรทำ หรือตอนขับรถไกลๆแล้วดีเจฝรั่งเปิดพวกเพลงร่วมสมัยแบบนี้ ทำให้นึกถึงชีวิตบางด้านของตนเองในอดีตที่เมืองไทยที่รู้สึกว่าโดดเดี่ยว แล้วก็มองชีวิตขณะนั้นที่สหรัฐฯ ซึ่งไม่มีใครเลยอย่างระมัดระวัง เพราะเรียกว่าถ้าตายในบ้านพักก็คงไม่มีใครรู้ เน่าอยู่ตรงนั้น


 


วันนี้ที่กำลังนั่งปั่นต้นฉบับนี้ก็เป็นเวลาแบบจวนเจียนที่สุดเพราะว่าบทความอาจจะต้องลงในวันพุธ และวันนี้เป็นวันอังคารบ่ายแล้ว งานเข้ามามากมายจนโงหัวไม่ขึ้น งานมากไม่กลัวแต่ว่าอยากให้คนที่มาเรียนด้วยขยันกว่านี้หรือได้อะไรมากกว่านี้


 


นึกถึงเพลงนี้ได้ก็ไปค้นๆบนเว็บมาให้ฟังในหลายเวอร์ชั่นตามแต่จะชอบ นั่งคิดไปตอนนี้เหมือนว่าตนเองคิดผิดรึเปล่าในการตัดสินใจที่ผ่านมา เพราะงานที่แล้วมาไม่มีอะไรออกมาให้ชื่นใจ ด้วยดูเหมือนคนในสังคมนี้เค้าเรียนให้ผ่านๆ ให้ได้แค่เกรด ให้ได้ปริญญา ไม่ตั้งใจเอาวิชาจริงๆเสียเลย นี่ขนาดทำใจมาก่อนหน้าก็ยังอดละเหี่ยใจไม่ได้


 


อีกทั้งมองเห็นหลายอย่างในระบบสังคมนี้ที่พัฒนาและปรับปรุงได้ แต่ดูเหมือนไม่มีใครใส่ใจอย่างจริงใจและจริงจังเท่าไรนัก หลายกลุ่มที่รู้จักดูเหมือนจะดี ดูเหมือนจะทำงานดี แต่พอเข้าใกล้แล้ว ไหงมันเป็นแบบไม่ได้เรื่องไปเสียหมด บ้างก็แก่งแย่งกันจนน่าเกลียด บ้างสร้างภาพจนไม่มีอะไรจริงๆ ข้างใน เป็นเรื่องกลวงโบ๋เสียทั้งนั้น


 


เพลงนี้ที่ให้มาทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆที่สหรัฐฯ ในบ้านนอกที่ไปอยู่มา ไปทำงานมา แม้ไม่สุขนัก ก็อดหวนระลึกไม่ได้ว่า ตรงนั้นแม้เป็นบ้านนอก แต่ที่เค้าเหนือกว่าเมืองไทยคือความเอาใจใส่ ความจริงจังกับชีวิต นึกถึงว่าถ้าคนไทยไม่ว่าในกรุงหรือนอกกรุงทำได้แบบคนบ้านนอกตรงนั้นบ้าง สังคมคงยกระดับมากขึ้นกว่านี้ ไม่ใช่มานั่งบ้าอะไรไม่เป็นเรื่อง


 


หลายครั้งที่มานั่งอ่านบทความใน "ประชาไท" เอง หรือบทความในที่อื่นๆ ที่หลายคนที่เรียกว่าเป็นพวกหัวก้าวหน้าเขียน ผู้เขียนอ่านรู้เรื่องแต่ไม่ชอบ อ่านแล้วเหมือนว่าชอบอ้างนักคิดตะวันตกไปจนลืมมองปัจจัยอื่นๆ ทั้งที่ผู้เขียนเหล่านี้เองก็ไม่ได้แตกฉานอะไรกันนัก บ้างไม่เคยไปเมืองนอก ไม่เคยไปอยู่กับฝรั่งจริงๆ หรือไปอยู่ก็แบบผิวๆ อ่านแล้วก็เซ็ง นึกถึงเพื่อนซี้ฝรั่งที่มักค่อนแคะคนไทยว่า "คนไทยชอบทำตัวข่มกันเอง แต่ยืมซากฝรั่งมาด่า" แล้วนึกถึงท่านอาจารย์ คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง ที่มักเตือนเสมอให้ผู้เขียนพยายามเขียนอะไรที่ยากให้ง่าย และทำให้คนที่ไม่มีพื้นเข้าใจได้


 


เสียดายที่กลุ่มคนที่เรียกตนเองว่าหัวก้าวหน้าอยากให้สังคมเปลี่ยนแปลงก็ชอบเขียนอะไรให้ยากๆเข้าไว้ หรือไม่เช่นนั้นก็แบ่งพวกกันเอง เพราะว่าคิดคนละมุมและจะเอาชนะกันให้ได้ นึกแล้วก็ขำที่ได้แต่บอกชาวบ้านให้ทำโน้นนี้ แต่ตนเองทำไม่ได้ ผู้เขียนถามตนเองต่อไปว่าแล้วจะไปทางไหนกันดีนี่ สงสัยต้องไหลๆกันไปแน่ๆ เพราะหาทิศทางจริงๆ กันไม่ได้เลย


 


หนึ่งในเว็บไซท์ที่ให้นั้นเป็นมิวสิควิดีโอที่สร้างขึ้นโดยมือไม่อาชีพคนหนึ่ง ที่เป็นเรื่องที่พ่อแม่เอาลูกไปฝากไว้ที่หน้าบ้านพักเด็กกำพร้า ทำให้นึกถึงสังคมไทยตอนนี้ที่เหมือนเด็กที่ต้องการคนให้ทิศทางที่ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยตามยถากรรมแบบนี้ เพราเมื่อชนชั้นปกครองไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จึงเหมือนปล่อยให้ปัญหาแก้ตัวของมันเอง หรือเหมือนภาษาอังกฤษที่ว่า Let things work out by themselves จนน่ากลัวเพราะคนที่ต้องทนกับผลร้ายที่ตามมาคือชาวบ้านทั่วไปนั่นเอง


 


ในช่วงสัปดาห์-สองสัปดาห์นี้ เป็นช่วงตรุษไทยเป็นเทศกาลวันหยุดที่ยาวนาน หลายคนมองเรื่องครอบครัว แต่สังคมไทยไม่เคยชัดเจนเลยเรื่องครอบครัวของคนที่ไม่อยู่ในกระแส รัฐบาลเองก็เป็นตัวเร่งกระทำเรื่องนี้อย่างไม่มีความรู้ที่ถี่ถ้วน ดังนั้น เทศกาลดังกล่าวจึงเปรียบเหมือนสุญญากาศทางสังคมของคนนอกกระแสหลัก และอาจหมายถึงการเมืองก็ได้เพราะหลายอย่างก็ยังไม่ชัดเจนไม่ลงตัว วันหยุดยาวๆ อาจกลายเป็นเรื่องซื้อเวลาหรืออย่างไรไม่ทราบ


 


ชีวิตทุกคนก็จะหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปในแต่ละวัน น่าห่วงแต่ว่าสังคมไทยตรงนี้เปลี่ยนอย่างไรและเปลี่ยนเพื่อใครเท่านั้น และตอนนี้อะไรที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด สังคมไทยเองต้องหาให้ได้และมีความชัดเจนมากกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยให้แค่ใครไม่กี่คนมาจัดการโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว หรือเพียงแค่ประโยชน์ของตนเองเท่านั้น


 


การนั่งปล่อยใจตามเพลงของผู้เขียนอาจช่วยตัวผู้เขียนได้บ้างให้ทำใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องทำแบบนี้ตลอดไปหรือบ่อยๆ