Skip to main content

Coming Out! ประสบการณ์เปิดเผยตัวเอง

คอลัมน์/ชุมชน

เรื่องหนึ่งที่ฉันคุยกับเพื่อนหญิงรักหญิงเป็นประจำก็คือ  เรื่องการเปิดเผยตัวเอง เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นน่า


ลุ้นอยู่ทุกคราวไป  บางครั้งผลที่ออกมาก็ทำให้เราเสียใจน้ำตาไหลปริบ ๆ  แต่บางครั้งก็ทำให้เราซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอได้เช่นกัน  หลังจากที่คุยกับเพื่อน ๆ หลายคน  เปิดเผยตัวเองมาหลายครั้งหลายครา  ขอสรุปท่าทีของคนที่เราไปเปิดเผยด้วย โดยจัดเป็นหมวดหมู่ดังนี้...


 


1. รับได้สุดชีวิต   ซึ่งสามารถแยกได้เป็น


 


1.1  เป็นเหมือนกัน  เช่น"ว้าย  ตายแล้ว ดีจังเลย  ฉันก็รักผู้หญิงเหมือนกัน   คบกันมาเป็นปี ไม่ยักจะรู้  ปิดกันเก่งดีเนอะ"   หลังจากนั้นเราก็พูดคุยกันได้อย่างเปิดเผยลึกซึ้งมากขึ้น ไม่เพียงแต่เรื่องชีวิตรักและปรึกษาคราอกหัก เรื่องอื่น ๆ ก็สามารถคุยได้มากขึ้นด้วย เหมือนกับว่าเราต่างคนต่างเป็นตัวของตัวเองกันได้เต็มที่


 


1.2  ไม่ได้เป็น  แต่มีญาติสนิทมิตรสหายเป็น  แล้วรู้ว่าพวกเรานี่ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยแต่อย่างไร  แถมยังน่าคบหาอีกต่างหาก  "เออ  ดีเลย น้องของพี่ก็อยู่กับผู้หญิงเหมือนกัน  เนี่ยเขากำลังทะเลาะกันอยู่ช่วยไปคุยกับเขาหน่อยสิ"  ได้รับความไว้วางใจให้เป็นศิราณีอีกต่างหาก


 


1.3  ไม่ได้เป็น  ไม่เคยมีญาติสนิทมิตรสหายเป็น  แต่มีปัญญาแยกแยะและหัวใจที่เปิดกว้าง  "อืมม  เราก็ไม่ได้เป็นเหมือนนายนะ  แต่นายเป็นเพื่อนเรา  เราก็รับนายได้อย่างที่นายเป็นแหละ"  เป็นเพื่อนที่ประเสริฐจริง ๆ


 


1.4  ไม่ได้เป็นเหมือนเราแต่เข้าใจเรา  เพราะตัวเองก็มีความรักที่ต้องปกปิดเช่นกัน  เช่น "เหรอ เหรอ  เนี่ยเราก็แอบรักพระอยู่เหมือนกัน  ทำยังไงดี  ไม่กล้าบอกใครเลย"  หัวอกเดียวกัน  ปลอบใจกันไป


 


1.5  รักผู้หญิงเหมือนเรา  แต่ไม่ได้เป็นผู้หญิงเหมือนเรา  อันนี้เพื่อนผู้ชายพูด  "เหรอ  เหมือนเราเลย  เราก็รักผู้หญิง แล้ว เราก็ไม่รู้สึกว่าจะรักผู้ชายได้เหมือนกัน"  ตอนแรกเราฟังแล้วก็งง ๆ  ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้  สักพักก็ค่อยคิดได้ว่า  เออ มันเหมือนเราจริง ๆ ด้วย     


 


1.6 รับได้เพราะเหตุผลด้านประชากรศาสตร์  เพื่อนผู้ชายที่ใส่ใจต่อสังคมเป็นคนพูดค่ะ "ก็ดี ประชากรจะได้ไม่ล้นโลก เป็นการควบคุมประชากรได้รูปแบบหนึ่ง"


 


2. รับได้....แต่....   ประเภทนี้นี่ก้ำกึ่ง  ใจนึงรับได้  แต่อีกใจก็ยังมีข้อแม้  เช่น


 


2.1  "พี่รับได้นะ  พี่เข้าใจ แต่ เดี๋ยวโตขึ้นน้องก็หายเองน่ะแหละ"  แหม พูดยังกับว่าเราเป็นสิว พออายุมากขึ้นแล้วจะหาย  มีความเข้าใจเช่นนี้อยู่เยอะค่ะว่าการรักเพศเดียวกันเป็นเพียงเฟสหนึ่งของชีวิต บางคนก็เปลี่ยนไปรักผู้ชายได้จริงค่ะ  นั่นก็คือเขารักได้ทั้งสองเพศ แต่สำหรับบางคนทำยังไงก็ไม่หาย ไปอาบน้ำมนต์ให้พระเป่ากระหม่อมก็ยังไม่หาย  มีจริง ๆ นะคะ คือครอบครัวเขารับไม่ได้ และหวังว่าการอาบน้ำมนต์จะช่วยได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่วายชอบแต่ผู้หญิงนั่นล่ะค่ะ


 


2.2  "เรารับได้นะ  แต่อยู่กันไปเงียบ ๆ ไม่ได้เหรอ  ทำไมต้องมาป่าวประกาศกันด้วยล่ะ"  เปล่าประกาศเลยจ้ะ  บอกเฉย ๆ  ไม่ได้ใช้โทรโข่งสักหน่อย  กรณีอย่างนี้เจอมาหลายหนค่ะ ซึ่งดู ๆ ไป เวลาผู้หญิงกับผู้ชายเป็นแฟนกันเขาก็พูดถึงแฟนกันได้โจ่งแจ้ง ไปมาหาสู่กันได้เปิดเผย แต่พอเราพูดบ้าง กลับหาว่าเราป่าวประกาศ มาตรฐานซ้อนเสียจริง


 


2.3  "เออ  ผู้หญิงก็ดีนะ  แต่น่าจะหาผู้ชายดีกว่า จะได้แต่งงานมีลูก  มีครอบครัวไง  ไม่ดีเหรอ  ตอนแก่จะได้มีคนดูแล"  จริงๆ เล้ย  ถ้าฉันคบผู้ชายได้คงแต่งไปก่อนเธอแล้วแหละย่ะ  แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ ฉันจะไปทำประกันสุขภาพเอาไว้


 


2.4  "จะรักผู้หญิงก็รักไปเถอะ  แต่อย่างนี้มันฝืนธรรมชาตินะ  อยู่กันไม่ยืดหรอก"  ถ้าเธอหยุดพูดอย่างนี้ซะ  เราคงอยู่กับแฟนเรายืดขึ้น  ว่าแล้วก็อยากจะจัดทำชุดคู่มือให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกัน  แล้วแจกจ่ายกันให้ถ้วนหน้า  ตั้งแต่โรงเรียนประถม  มัธยม  อาชีวะ  มหาลัย    


 


2.5  แบบนี้มาแปลก เป็นพ่อของเพื่อนค่ะ "พ่อก็ไม่มีปัญหาอะไรถ้าลูกจะรักผู้หญิง  แต่พ่อไม่ได้อยากนอนกับผู้ชายนะลูก"  เอ่อ.... ค่ะ....ค่ะ...ไม่ต้องหรอกค่ะพ่อ  พ่อเข้าใจหนูก็พอแล้วค่ะ พ่อไม่ต้องเป็นอย่างหนูก็ได้


 


3. แบบเงียบหาย  เพื่อนฉันเจอค่ะ คือเขาคุยกับเพื่อนเก่าทางโทรศัพท์ คุยไปคุยมา ก็บอกเพื่อนว่า "เออ เราเป็นทอมนะ" เพื่อนเงียบไปสักครู่ แล้วก็วางสายโทรศัพท์ดังกริ๊ก โดยที่ไม่พูดอะไรเลย และไม่ติดต่อมาอีกเลย เงียบหายไปกับสายลมจริง ๆ ค่ะ เล่นเอาเพื่อนฉันเศร้าที่ถูกปฏิเสธแบบเงียบ ๆ เช่นนี้  ฉันก็เลยปลอบใจเพื่อนไปว่า "เออ สายมันคงขาดกระทันหันน่ะ" เพื่อนก็ไม่ค่อยเชื่อหรอกค่ะ ถ้าคุณที่กำลังอ่านอยู่นี้เป็นคนที่ทำกับเพื่อนฉันอย่างนี้ กรุณาติดต่อกลับมาด่วน เพื่อนให้อภัยแล้ว


 


4.  รับไม่ได้สุดใจขาดดิ้น  เคยได้ยินตั้งแต่


 


4.1  "รับไม่ได้ว่ะ  ไม่ต้องมาพูดอีกแล้ว"  แล้วก็เดินหนีไปเลย  ตรงไปตรงมาดี  ก็ดีหน่อยที่พูดออกมาตรง ๆ ไม่ได้หายไปเฉย ๆ แล้วเขาก็เป็นฝ่ายหายไปจากชีวิตเราเอง  เราไม่ต้องเสียพลังงานในการทำตัวหายไปจากชีวิตเขา 


 


4.2  "ไม่ต้องโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีกแล้ว"  อันนี้ฉันเคยโดนอยู่ครั้งเดียว  แต่ก็อึ้งไปเลย  หน้าเราคงทำให้เขาทรมานมากถึงกับไม่อยากเห็นอีก  เราก็สงสารเขานะ  ไม่โผล่ไปให้เขาเห็นอีกเลย  ใช้พลังงานเยอะกว่า 4.1 หน่อย  แต่ก็ไม่อยากให้เขาทรมาน  นี่ก็ตั้ง 11 ปีมาแล้ว  ป่านนี้ไม่รู้เขาไปมีแฟนเป็นผู้หญิงเหมือนเรารึเปล่า  (ว่ากันว่าอะไรที่เราเกลียดมาก ๆ  เรามักจะเป็นเอง)


 


4.3  "โอ๊ย  อย่างนี้น่ะต้องเจอผู้ชาย....สักทีเดียวก็เปลี่ยนได้แล้ว"  อันนี้เพื่อนผู้ชายพูด  อยู่ห่าง ๆ เพื่อนอย่างนี้ไว้จะดีกว่า   ภาวนาด้วยว่าอย่าให้เจอเพื่อนอย่างนี้อีกเลย  ว่ากันว่าผู้ชายที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตนเอง  จะรู้สึกตัวเองด้อยที่ผู้หญิงไม่มาสนใจตัว  แต่กลับไปคบกันเอง  พวกนี้จึงต้องเข้าไปใช้กำลังแทรกแซง  ท่าจะโตมากับหนังไทยสมัยโบราณ  ที่นางเอกเป็นทอม  แล้วพระเอกก็เลยใช้กำลังบังคับ  ตื่นเช้ามานางเอกหายเป็นทอมแบบปลิดทิ้ง   เรื่องอย่างนี้กระทรวงวัฒนธรรมน่าจะแบนซะ  เพราะมันเป็นการสนับสนุนให้ผู้ชายกระทำรุนแรงกับผู้หญิง


 


4.3  ใช้ความรุนแรงตอบกลับ มีหลายคนค่ะที่เจอความรุนแรง บางคนถูกทำร้ายร่างกาย บางคนถูกไล่ออกจากบ้าน  บางคนถูกไล่ออกจากงาน  น่าเศร้ามาก   พี่ปุ๊ อัญชลี กับ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรมน่าจะมารับรู้เรื่องอย่างนี้  และพยายามช่วยกันทำให้สังคมยอมรับคนรักเพศเดียวกันมากขึ้น  


 


5.  ต่อหน้าเราทำเป็นรับได้  พอลับหลังกลับเอาเราไปเม้าท์แหลก  แบบนี้ไม่แน่จริงนี่หว่า  สู้แบบ 4.1 ไม่ได้ แต่คิด ๆ ดู  คนอย่างนี้น่าเห็นใจที่เขาไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้  ต่อหน้าทำตัวอย่างหนึ่ง  แต่ลับหลังกลับแอบเป็นอีกอย่าง  แถมยังต้องเสียพลังงานกับการเม้าท์แหลกอีกด้วย  น่าเห็นใจจริง ๆ  สมควรต้องพาไปเข้าคอร์สเปิดเผยตัวเอง


 


.....จากประสบการณ์ต่าง ๆ นานาที่ว่ามานี้  เพื่อน ๆ กับฉันเห็นตรงกันว่า  พอเราเปิดเผยตัวเองมากขึ้น  มันทำให้เรารู้สึกโล่งสบาย  เป็นตัวเราเองได้มากขึ้น  ไม่ต้องมานั่งปกปิดชื่อแฟน  เพื่อให้เพื่อนเข้าใจไปว่าแฟนเราเป็นผู้ชาย หรือโกหกว่าเธอคนนั้นเป็นเพียงเพื่อนสนิท  สนิทมั่ก ๆ แบบว่าคบกันมาตั้งแต่ 5 ขวบ  นอนด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต  หรือไม่ต้องอึกอักเวลาแม่ถามว่าเมื่อไรจะแต่งงาน  ไม่ต้องหลอกเพื่อนว่าไม่มีแฟน (จริง ๆ แฟนชื่อน้องเก๋)  แล้วชีวิตนี้จะถือพรหมจรรย์ตลอดไป  (ชีวิตนี้จะถือน้องเก๋เป็นแฟนตลอดไป)   แม้กับคนที่บอกว่ารับเราไม่ได้  ไล่เราให้ไปให้พ้นจากชีวิตเขา  ถึงจะเสียใจเสียความรู้สึกอยู่บ้าง  แต่มันก็ทำให้เราโล่งใจที่ก็รู้ๆ กันไปเลย  คบไม่ได้ก็เลิกคบกันไป  ไม่ต้องเสียเวลากันอีก  เอาเวลาไปอยู่กับน้องเก๋ดีกว่า (นามสมมตินะคะ บอกไว้ก่อน เดี๋ยวแฟนฉันมาอ่านเจอแล้วจะเป็นเรื่อง)


 


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเปิดเผยดะไปหมด  บอกแม้แต่กระเป๋ารถเมล์ที่ไม่ได้สนใจอะไรผู้โดยสารสักนิด  หรือถ้าใครถาม  เราไม่อยากบอก  ก็ไม่ต้องไปบอก  ปล่อยให้เขาสงสัยต่อไปก็ได้  เรามีสิทธิเลือกที่จะเปิดเผยตัวเองกับใคร  และไม่เปิดเผยกับใคร  เหมือนเรื่องอื่นๆ ในชีวิตนั่นแหละ


 


สุดท้ายแล้ว  บทเรียนสำคัญข้อหนึ่งที่ฉันได้รับจากการเปิดเผยตัวเองก็คือ ไม่ว่าใครจะยอมรับฉันได้มากน้อยเพียงใด  ถ้าฉันรับตัวเองไม่ได้แล้ว  ชีวิตนี้ยังไงก็หาความสุขไม่ได้  ฉันเริ่มจากยอมรับที่ตัวเองเป็นหญิงรักหญิง  แล้วก็ขยายไปเรื่อย ๆ ให้เปิดใจยอมรับตัวเองด้านต่าง ๆ ทั้งที่ชอบและไม่ชอบ  ถึงมันจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นบนหนทางอันยาวไกล  แต่มันก็ทำให้ฉันมีความสุขกับตัวเองมากขึ้น  รักตัวเองมากขึ้น  พอฉันมีความสุขกับตัวเองมากขึ้น  ฉันก็สามารถเปิดใจทำความเข้าใจคนที่รับฉันไม่ได้ (อย่าง ดร.วัลลภ) มากขึ้น (อีกหน่อยนึง)