Skip to main content

โดนหลายกระทง วันสงกรานต์

คอลัมน์/ชุมชน

เปรื่องเดช  ผดุงครรภ์


 



 


 


6.04 .


 


ผมล้วงถุงพลาสติกออกมาจากกระเป๋าข้างกางเกง แกะหนังยางที่มัดปากถุงออก  เหลือ 2 มวนสุดท้ายพอดี สำหรับเจ้ามะเร็งเพื่อนรัก ช่วงนี้ผมต้องประหยัดมะเร็ง มันเป็นเทศกาลสงกรานต์ ตับแข็งเพื่อนยากจะถูกใช้อย่างฟุ่มเฟือยมากกว่า เงินทองสะสมของผมมันไม่ค่อยสนับสนุนให้ผมเอาดีทั้งสองอย่างพร้อมกันเท่าไหร่ 


 


ผมหนีบบุหรี่ใส่ปากมวนหนึ่ง จุดไม้ขีด จากนั้นก็จัดแจงเก็บไม้ขีดลงไปในถุงพลาสติกมัดปากถุง แล้วก็อัดบุหรี่เข้าปอดหนึ่งปื้ดใหญ่ ก่อนค่อยๆ เข็นน้ำแข็งก้อนเขื่องเลื่อนไถลลงไปที่หลังรถกระบะลูกค้าที่มาต่อคิวยาวเหยียด เป็นธรรมดาของเช้าวันสงกรานต์ น้ำแข็งก้อนใหญ่จากโรงน้ำแข็งจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่าวันนี้งานการสำหรับลูกจ้างโรงน้ำแข็งอย่างผมจึงต้องทำงานหนักอย่างเป็นพิเศษ


 


ผมทำงานอย่างแข็งขันแต่เปี่ยมไปด้วยความง่วงหงาวโงนเงน เพราะว่าเมื่อคืนหลังจากโจ้เหล้ากับเพื่อนๆ ก็ต้องมาทำงานต่อเลยตั้งแต่เที่ยงคืนกว่าๆ  ผมเหลือบดูนาฬิกา .. หกโมงเช้าแล้ว เดี๋ยวกะว่าซดโจ๊กร้อนๆหน้าโรงน้ำแข็งซักชาม น่าจะช่วยทุเลาอาการง่วงหงาวหาวนอนไปซักเปลาะนึง


 


"แม่ๆ ไอ้ฉู่มันดูดบุหรี่อีกแล้ว เอามันเลย" เสียงนังกิมลั้งฟ้องเจ๊ซึ่งกำลังกลับมาจากการไปเก็บส่วยที่ตลาด ผมไม่ทันจะทำลายหลักฐาน เจ๊ก็เข้ามาถึงตัวผมเสียแล้ว


 


ป้าบ!!! - เจ๊ใช้กระเป๋าหลุยส์วิ๊ตต๊องตบผม บุหรี่ปลิวว่อน (คาบไม่แน่น) เลือดกลบปากผมไหลซิบๆ


 


"กูบอกมึงกี่…"   .... เพี๊ยะ !!!


 


เจ๊ยังพูดไม่ทันจบ ผมก็สวมวิญญาณ อ่อง กระดันซ่อ อดีตนักตะกร้อทีมชาติพม่าคนโปรดของผม ใช้ฝ่าตีนบรรจงลูบหน้าเจ๊อย่างแรง!!! ผมมีน้ำโหเนื่องจากเลือดผมไหล พ่อแม่ผมที่พม่ายังไม่เคยตีผมเลย วันนี้เจ๊ทำเกินไป บ้าอำนาจเกินไป


 


แค่ดูดบุหรี่มันไปผิดกฎหมายตราสามด้วงตรงไหนวะ!!! เจ๊ค่อยๆ ล้มตัวแบบสโลโมว์ชั่นต่อหน้าต่อตาผม   ล้มลงไปนอนตาค้างไม่นึกไม่ฝันกับเหตุการณ์ที่เกิด หน้าตาเจ๊ซีดเผือด ผสมกับรอยดำๆ ด่างๆ เปียกๆ ... ใช่!!! นั่นมันขี้ตีนผมนั่นเอง!!!


 


 … ห้วงเวลานั้น เหมือนกับทุกอย่างมันหมุนไปช้าๆ (เหมือนตอนที่นีโอหลบกระสุนในแมททริกซ์) ทุกคนต่างตะลึงงันกับเหตุการณที่เกิด เจ๊เล้งผู้ยิ่งใหญ่ล้มคาตีนผม …


 


"ว้าย!!! ไอ้ฉู่..มึง!!"  อีกิมลั้งเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับเป็นคนแรก  ตอนนั้นเองเหมือนมีกุญแจมาปลดล็อคทุกคน  เริ่มมีการเคลื่อนไหวในโรงน้ำแข็ง ..ผมจ้ำอ้าวโกยสุดชีวิต กะว่าจะวิ่งอ้อมไปที่เค้าท์เตอร์เก็บเงินเพื่อยืมก้านคออีกิมลั้งเป็นที่จอดตีนผมซักป้าบ!!! แต่กลัวจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ และเสี่ยงต่อการเป็นความดีความชอบให้ไอ้พวกขี้ข้าที่ประจบสอพลอเพราะตอนนี้มันเริ่มจะไล่ตะครุบผมคนสองคนแล้ว แต่ก็มีขี้ข้าดีๆ ที่สนับสนุนการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพที่ผมทำลงไป ต่างนิ่งเงียบดื้อแพ่งไม่ไล่กวดผม ไม่เสียแรงที่วันนี้กูใส่เสื้อ เช เกวาร่า ผมนึกในใจ ก่อนใส่เกียร์หมาวิ่งออกมาจากโรงน้ำแข็งผมเหลือบไปเห็นพี่ต้อมขี้ข้ารุ่นเก๋ากึ๊กรุ่นแรกที่ข้ามน้ำสาละวินมาทำงานที่โรงน้ำแข็งนี้ (และโดนโขกสับทุกวัน) ชูกำปั้นเตี้ยๆ แอบสะใจเล็กๆ


 


ผมวิ่งสวนออกมา มองไปเห็น โอเลี้ยง เพื่อนรักของผมรำไรๆ ไกลๆ  มันขี่มอไซด์ออกไปซื้อปลาสเตอร์ยาปะแผลมาให้ไอ้ตู่ (ที่เพิ่งโดนใบมีดปั่นน้ำแข็งตัดนิ้วโป้งไปหยกๆ ก่อนเหตุการณ์ปฏิวัติจะเกิด พวกเราจะพามันไปส่งโรงพยาบาล แต่อีกิมลั้งบอกว่าเจ๊กลับมาจะโดนด่า เอาปลาสเตอร์ยาก็พอ เหล่าแรงงานชาวต่างด้าวอย่างพวกเรา มาตรฐานชีวิตมันก็มีแค่นี้แหละครับ เอาอะไรมาก)


 


ซัก 20 เมตรก่อนประชิดตัวกับโอเลี้ยง ผมพนมมือไว้มัน เห็นมันทำหน้างงๆ กับการที่เห็นผมวิ่งหนีเพื่อนร่วมงานมาเป็นพรวน ผมหันหลังไปดู พี่ต้อมวิ่งถือพร้าออกมาไล่อยู่แถวหน้าเลย อ้าว!!! เมื่อกี้ยังดีๆ กันอยู่ นกสองหัวชัดๆ (เห็นใจพี่แก เพื่อปากท้อง เจ๊สั่งก็ต้องทำ) เหลียวกลับมาพนมมือไว้ไอ้โอเลี้ยงต่อ มันค่อยๆ ชะลอความเร็วเพราะมันกำลังสงสัยอย่างเต็มที่แล้วกับเหตุการณ์ที่เกิดผมเพิ่งดูวีซีดีองค์บากมาหยกๆ (แล้วทำไมต้องให้ไทยสู้กับพม่าอีก เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันไม่ได้หรือ?) บวกกับความหลงใหลในมาร์เชี่ยลอาร์ท 


 


ผมกระโดดบิดตัวกลับหลังแล้วใช้ส้นตีนซ้ายเหยียบยอดอกไอ้โอเลี้ยงอย่างจัง จังหวะนั้นแรงเฉื่อยของรถค่อยๆ ไหลนำพาไอ้โอเลี้ยงมาปะทะส้นตีนของผม มันกระเด็นตกรถไปอย่างนิ่มนวล (และน่าจะจุก)  ผมขึ้นมาควบมอไซด์ และสามารถตบเกียร์ไปได้ต่อ (เหมือนในหนังเปี๊ยบ!!! ถ้าคุณมีจินตนาการทุกอย่างย่อมเป็นไปได้)  ผมยูเทิร์นขี่รถไปอีกทาง จะไปไหนผมยังไม่รู้ ขี่มันไปก่อน เรื่อยๆ  เรื่อยๆ  และเรื่อยๆ


 


7.15 .


 


จะกลับไปเพิงพักผมก็กลัวชาวคณะโรงน้ำแข็งกับเจ๊..น้ำมันใกล้จะหมดแล้ว ตังค์ในกระเป๋าก็เหลือแค่ 25 บาท (หลังจาก กลุ่มโอเปคโก่งราคาน้ำมัน เงิน 20 บาทไม่สามารถเติมน้ำมันรถมอไซด์ได้ ราคาขั้นต่ำถูกปรับเปลี่ยนไปเป็น 30 บาท) ผมจึงนึกหาทางรอด ผมนึก นึก นึกและก็นึก … ยามยากแบบนี้คงจะมีไม่กี่คนที่แว๊บขึ้นมาในหัวแล้วทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่าเพื่อนแท้ยังมีในโลก มีแต่ส่วนมากที่จะมาแว๊บในความคิดแล้วชวนให้เราน้ำตาไหล เสียดายที่คบกับพวกมันไอ้พวกเพื่อนกินไม่กี่คนที่แว๊บขึ้นมาแล้วทำให้ผมมีความหวังนั่นมันก็คือไอ้เทพนั่นเอง มันทำงานเป็นเด็กปั้มพอดีไกลจากจุดที่ผมกำลังขับขี่นี้พอสมควร ผมจึงนอนขี่มอไซด์แบนทำตัวให้แบนราบเพื่อให้ตัวเองต้านลมน้อยที่สุด ประหยัดน้ำมันสุดๆ


 


น้ำมันหมดไปตั้งแต่ก่อนถึงปั๊มสองโลแล้ว แต่ผมอาศัยการนอนกระเด้าเบาะรถ กระดึ๊บๆ เพื่อให้เกิดแรงส่ง  รถค่อยไหลซิกแซกจนมาถึงปั๊ม สายตาประชาชนข้างถนนที่กำลังจัดแจงถังน้ำขันน้ำในการเล่นสงกรานต์จับจ้องผมด้วยความงุนงงบวกด้วยอารมณ์โปกฮา ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน ผมชินแล้ว พวกผมแรงงานต่างด้าวมันเป็นตัวตลกให้พี่น้องชาวไทยได้ล้อกันตลอดกาลอยู่แล้วนี่ครับ --- เหยียดหยามเยาะเย้ยโขกสับกันเข้าไป พอเราถึงขีดสุดฆ่าปาดคอนายจ้าง, รุมกระทืบวัยรุ่นขึ้นมาก็มาด่ามาว่าเราอีก


 


ผมกระเด้า กระดึ๊บๆ จนรถค่อยๆ ไหลไปจอดหน้าหัวจ่ายที่ไอ้เทพพึ่งจะเติมให้รถคันหน้าไป (มาถึงตอนนี้หลายคนอาจจับผิดสงสัยว่าเพื่อนๆ ของผมทำไมมีชื่อไทย เป็นคนไทยหรือ? ทำไมผมชื่อฉู่คนเดียว คือว่าที่กล่าวมาเพื่อนๆ ผมนั้นพม่าทุกคน แต่มาอยู่เมืองไทยเลยต้องตั้งชื่อไทยกันใหม่ให้เข้ากับวัฒนธรรมไทย สำหรับผมไม่ขอเปลี่ยน ฉู่ คือ ฉู่ ผมจะไม่ยอมเปลี่ยน ไอ้เทพนี่ชื่อเก่ามันก็ชื่อ ซอวซอว แล้วเปลี่ยนเป็น เทพ)


 


"เทพกูขอเต็มถัง ตังค์อีกซักร้อยเถอะว่ะ กูมีปัญหาจริงๆ" 


 


9.00 .


 


หลังจากได้เงินจากไอ้เทพ พร้อมน้ำมันเต็มถัง ผมวนเวียนให้เด็กข้างทางที่ดูการ์ตูนจบแล้วออกมาเล่นสงกรานต์ สาดน้ำ สาด .. สาด ...สาดไปสาดมา วนเวียนให้มันสาด ในหัวก็คิดทางหนีทีไล่ไปเรื่อยๆ  ซึ่งมันก็คิดไม่ออก เงินในกระเป๋าร้อยยี่สิบห้าบาทกับการหนีข้ามพรมแดนกลับบ้าน มันยาก และยากจริงๆ  ที่เพิงพักหลังโรงน้ำแข็ง ผมเอาเงินซ่อนไว้ในเสาไม้ไผ่สามพันกว่า คงกลับไปเอาไม่ได้แล้ว ทำงานอดออมกะว่าจะส่งเงินไปให้ทางบ้านซื้อควายไว้ทำนาแล้วผมก็จะกลับไปสร้างครอบครัวเล็กๆ ความฝัน ทั้งหมดต้องพังป่นปี้เพราะผมคุมอารมณ์ไม่อยู่แท้ๆ  คิดแล้วก็ปลง จะโทษตัวเอง จะตีอกชกตัวมันไป ไม่ก็ดีขึ้นหรอกเฟ้ย!!! แก้ปัญหาเฉพาะหน้ามันไปก่อน … ว่าแล้วผมก็นึกถึงเพื่อนที่ทำงานที่อู่ซ่อมรถ ไปหาพวกมันดีกว่า


 


10.30 .


 


รถไอ้โอเลี้ยงยางเสือกแบนกว่าจะมาถึงอู่ซ่อมรถ เข็นซะเหนื่อยแทบแย่


 


"เฮ้ย !!! ไอ้ฉู่นี่หว่า"  จอห์นนี่เพื่อนผมผละมาจากการสาดน้ำ เอาแป้งมาลูบหน้าผม ตามประเพณีนิยมในวันสงกรานต์ เพื่อนๆ ในวงเหล้า ตะโกนทักทายเฮฮาและเมาแน่ๆ (หน้าแดงเสียงดังและคาดว่าตังค์ไม่ค่อยจะมีกันด้วย)


 


"เอามาก่อนร้อย กูจะไปซื้ออีกชุด"  ไอ้หลุยส์ โซเซออกมาจากวงเหล้า ทักทายด้วยการไถเงินผม อ้าว กูโดนซะแล้ว ผมคิดในใจ ยังไงก็จะมาขอความช่วยเหลือพวกมัน ควักๆ ไปก่อนก็ได้วะ ผมคิดเบิ้ลอีกที


 


ผมนั่งกินเหล้าเฮฮากับพวกมัน ทั้งๆ ที่มีทุกข์ร้อนอยู่ในใจ แต่ยัง ยังไม่บอกพวกมัน เดี๋ยวเหล้ารสชาดจะฝืดไปเสียเปล่าๆ จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ และเฮฮากับผู้ที่เฮฮา เศร้าคนเดียวอาจจะกร่อยทั้งงานสงกรานต์ ผมเลยเสียสละ ละแล้วซึ่งความเศร้า เฮฮากับพวกมันไปพลางๆ


 


นั่น! ว่าแล้วไง สงกรานต์ ถ้าไม่ลูบ ไม่คลำ ไม่ล้วงกัน มันก็ไม่ใช่สงกรานต์ แป้งนี่แหละตัวบังหน้าชั้นยอด ลูบซ๊ะให้เข็ด เพื่อนๆ ผมรุมสะกรัม ลูบ คลำ ล้วง สาววัยมัธยมต้น นุ่งน้อย ห่มน้อย ที่อัดมอไซด์มาแบบแซนด์วิช (ซ้อน 3) กรี๊ดกร๊าด หยอกล้อกันไปมา ก่อนที่พวกหล่อนจะจากไป ให้จุด ลูบ-คลำ-ล้วง จุดอื่นๆ (คล้ายจุดตรวจเลยแฮะ) ที่กินเหล้า เล่นน้ำอยู่ข้างถนนแบบพวกผม ลูบ คลำ ล้วงกันให้ถ้วนหน้า ผมกลั้นใจกระดกสุราขาวเต็มๆ แก้วมะเฟือง (แก้วชอร์ตของร้านเหล้าก๊งไทยๆ) ย้อมใจ ก่อนออกไปปฏิบัติการโหดกับพวกมัน


 


"ว๊าย!!!! ไอ้บ้า"  เหยื่อของผมกรี๊ด พลางจับมือของผมออกมาจากนมของเธอ


 


"ไอ้ ทุเรศ ลามก ไอ้สกปรก " ผมโดนบีบแขนซะแน่น เจี๊ยก!!! เพราะฤทธิ์สุราขาวชอร์ตนั้นแท้ๆ ผมดันไปคลำเอาป้าอายุราวๆ 50  เพื่อนๆ ผมวงแตกกระจาย ป้าบีบแขนผมแน่น ด่าผมชนิดเอาพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสภาเต๊กเฮงหยูมาเปิดแปลตามไปด้วยแทบไม่ทัน ..


 


"ป๊ะ ป๊ะ ผงขอโทก" ผมพูดสำเนียงแปร่งๆ เพราะอารมณ์ตกใจสุดขีดและเมาด้วยเลยทำให้การเก๊กชงพูดไทยชัดถ้อยชัดคำหายไปทันที


 


"อ้าว ไอ้พวกพม่านี่หว่า วุ้ย!!! หยะแหยง หยะแหยง ไอ้เลว "  เพี๊ยะ!!! เช่นเคย ผมเอาฝ่าเท้าผม ไปจุมพิตป้าอย่างแรง ป้าแกร่วงลงจากรถ ฟันปลงฟันปลอมเงี๊ย!ร่วงกระจาย!!! ทำไมต้องมาดูถูกกันด้วยฟะ!! นมก็เหี่ยว ถ้ากูไม่เมากูไม่จับหรอก นมเหี่ยวๆ ยานๆ แบบนี้


 


แล้วผมก็ควบรถป้า มุ่งไปบนถนน กับหนทางที่ไม่รู้ปลายทาง โถชีวิตคาวบอยพลัดถิ่น ต้องเดินทางอีกครั้งหนึ่งแล้วตู…


 


11.00 .


 


ณ จุดตรวจคนเมา สี่แยกกลางเมือง


 


"เอ้า มึงลองเป่าซิ" พี่จ่าใช้ให้ผมเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์


 


"สภาพแบบนี้ไม่ต้องให้เป่าแล้วจ่า กลิ่นเหล้าขาวซะหึ่ง ผมกินเบียร์กระป๋องเดียวแท้ๆ ยังเกิน"  ไอ้เด็กวัยเขื่องที่ถูกขังอยู่ในคุกเฉพาะกิจ (สภาพคล้ายๆ กรงสุนัข) ยุให้พี่จ่าจับผมไปรวมกับมัน หน็อย!! ยุ เดี๋ยวกูเข้าไปเถอะมึง มึงโดนกูแน่ ผมคิดในใจ


 


"โอ้โห ตั้ง 120 มึงขับมอไซด์มาได้ไงวะเนี่ย" พี่จ่าอ่านสเกลวัดค่าจากเครื่องเป่า  ทันใดนั้นมีเสียงเอะอะ เยิ๊กย๊าก ไล่หลังผมมา อูยสสสส์!!! เจ๊เล้ง, อีกิมลั้ง, ไอ้โอเลี้ยง, ป้านมเหี่ยว และเหล่าพลพรรคโรงน้ำแข็ง กับสาวกชาวอู่ซ่อมรถ ยกโขยงกันมา คงไม่ต้องสงสัย เป้าหมายมันคือผม และผมไม่ต้องคิดอะไรมาก … โกยอีกครั้ง


 


ผมวิ่งข้ามมากลางสี่แยก รถปิ๊กอัพที่บรรทุกเด็กมาเต็มคันรถหักหลบผม พุ่งเข้าไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ชนกับเคาน์เตอร์ลวกก๋วยเตี๋ยวอย่างจัง!!! ถังแก๊สระเบิดตูม!!! ตูม!!! ระเบิดแบบในหนัง แรงระเบิดอัดเอาถังแก๊สพุ่งมาก๊อปปี้ลูกค้าที่กำลังจะลงจากรถเก๋งหน้าร้านซะแบน ไฟลุกท่วมร้าน ลูกค้าวิ่งหนีตายกันอุตลุต ผมเห็นเด็กโดนเหยียบ หลายคนโดนไฟคลอกท่วมตัว ตะเกียกตะกายออกมาจากร้าน..


 


หันไปทางขวา รถยนต์ชนตูดกันเป็นพรวน บางคันไต่หลังกันแบบการโชว์รถบิ๊กฟุต เพราะคนหน้าเบรคกระทันหัน บางคันหักหลบพุ่งเข้าไปชนคนที่มาเล่นน้ำข้างทาง หลายคันพลิกคว่ำ มอไซด์ล้มกันระเนระนาด เสียงคนกรีดร้องอย่างโหยหวน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ตลบอบอวลขึ้นมาแทนกลิ่นน้ำอบ น้ำหอมและกลิ่นแป้งผมหันกลับไปทางจุดตรวจ ทุกคนตะลึงงันกับเหตุการณ์ที่เกิด ……. ผมเดาใจเอานะ พวกเขาคงคิดเหมือนผม นี่สงกรานต์หรือสงครามโลกวะเนี่ย!!!


 


แล้วผมก็ค่อยๆ ล้วงถุงพลาสติกออกมาจากกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง แกะหนังยางที่มัดปากถุงออก จุดบุหรี่มวนสุดท้าย  แล้วก็อัดเข้าไปในปอดหนึ่งปื๊ดใหญ่ …....


 


คำเตือน : บุหรี่นอกจากจะทำลายสุขภาพแล้ว บางครั้งมันก็ยังทำลายอะไรที่มากกว่าสุขภาพ (ดังนั้น ผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่ดีควรงดเว้นการดูดบุหรี่ ... ครับ ;-)


 






 


โลกาภิวัฒน์และชาตินิยม


 


ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี การสื่อสารและการคมนาคมภายใต้ระบบทุนนิยม การเคลื่อนย้ายเงินทุน และข้อมูลต่างๆ อย่างฉับไว รวดเร็ว เปรียบเสมือนว่าโลกใบนี้ไม่มีพรมแดนใดขวางกั้นหรือชะลอการทำกิจกรรมต่างๆ - นั่นคือความหมายของโลกาภิวัฒน์ (Globalization)


 


เงินทุน - ข้อมูลสารสนเทศ ที่ไหลเวียนเปลี่ยนถ่ายจากมุมหนึ่งไปสู่อีกมุมหนึ่งของโลกด้วยการคลิ๊กเมาส์เพียงคลิ๊กเดียว ความง่ายดาย ความสะดวกสบายนี้สนองตอบเพื่อใครเล่า? คำตอบก็คือ ชนชั้นนายทุน


 


แต่ในโลกแห่งการต่อสู้ของชนชั้นล่างๆ การเคลื่อนย้ายแบบโลกไร้พรมแดนนี้มันไม่เคยเอื้ออำนวย ที่เห็นได้ชัดคือกรณีแรงงานข้ามพรมแดน หรือแรงงานต่างด้าว เพราะแต่ละประเทศล้วนแต่มีกฎหมายกีดกัน หรือแสวงหาผลประโยชน์แบบขูดรีดจากผู้ใช้แรงงานเหล่านี้ทั้งนั้น


 


โลกาภิวัฒน์  ถูกสร้างเพื่อใคร? แล้วผิดไหมที่ผู้คนที่ไม่ได้รับผลประโยชน์จากมันและหนำซ้ำบางครั้งก็โดนมันขูดรีด ลุกขึ้นมาต่อต้าน?


 


แนวคิดชาตินิยม (Nationalism) เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างหนึ่งที่ผู้ปกครองรัฐ,หรือผู้มีผลประโยชน์นำมาใช้ในรัฐชาติ เพื่อปลุกเร้าอารมณ์รวมหมู่ของพลเมืองในรัฐตนให้อุทิศตนเพื่อรัฐ  เสียสละเพื่อรัฐ หรือเป็นข้ออ้างในการทำอะไรบ้าๆ เพื่อความสะใจ ส่วนมากแนวคิดนี้มักจะมีแนวคิดเหยียดชนชาติอื่น (Racism) ร่วมด้วย หรืออุปโลกน์สร้างศัตรูที่เป็นภัยต่อชาติขึ้นมา เช่น พวกกบฎ พวกขายชาติ พวกมารศาสนา เป็นต้น 


 


ปัจจุบันปัญหาเรื่องแรงงานต่างด้าวกำลังถูกพวกคลั่งชาตินิยมนำมาเล่นอย่างสะใจ  กรอกหูเพื่อนร่วมชาติ ยุให้เกิดความเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่เข้ามาแย่งงาน,เป็นตัวแพร่เชื้อโรค,เป็นตัวก่อปัญหาอาชญากรรม,เป็นตัวบ่อนทำลายความมั่นคง และอีกสารพัดความเลวร้าย  ซึ่งความจริงพวกเขาเป็นแค่ผู้มาเยือนเพียงชั่วคราวเท่านั้น เรากับโยนบาปมหันต์ที่กล่าวๆไปนั้น ให้พวกเขาเป็น ‘แพะ’ ไปเสีย


 


เราไม่เคยมองว่าโครงสร้างของระบบต่างๆที่มันผิดพลาดในปัจจุบัน เป็นฝีมือที่พวกเราก่อไว้เองนั่นแหละ  พวกเขาผิดด้วยหรือที่เดินมาข้ามพรมแดนมาเพื่อหาสิ่งที่ดีกว่าสำหรับชีวิตเขาและผู้ที่อยู่ข้างหลัง?


 


เมื่อครั้งแรงงานไทยลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมในไต้หวัน – เราทั้งประเทศส่งแรงเชียร์อย่างใจจดใจจ่อ


 


อีกไม่กี่วันต่อมาแรงงานพม่าลุกฮือขึ้นมาขอความเป็นธรรมในบ้านเราบ้าง – เรารุมด่า รุมสาปแช่งกันทั้งประเทศ


 


สองเหตุการณ์นี้มันเป็นภาพสะท้อนทั้งหมดของข้อเขียนทั้งหมดที่ผมพล่ามมา.