Skip to main content

บทสนทนากับตัวเอง : หรือว่าข้าใช้ชีวิตในโลกของความโง่เขลามากเกินไป

คอลัมน์/ชุมชน


 


กับวิถีที่แกร่งกล้าพยายาม


มุ่งมั่นเดินทางไปตามแรงเหวี่ยงของโลก


มุ่งหน้าสู่ มุ่งสู่...ความหวังอันเรืองรองและเร่าร้อน


ฉุดดึงพลังภายในออกมาอย่างสุดแรงเกิด


บ่อยครั้ง, ข้ากระชากขวากหนามที่ขวางหน้าจนพับพ่าย


(แต่ก็นั่นแหละ, อุ้งมือของข้าย่อมได้เลือดบาดแผลอยู่บ้าง)


 


กับชีวิตที่มิเคยไหวหวั่นครั่นคร้ามสิ่งรายรอบข้าง


ไม่ว่าในวงล้อมของเหล่านางฟ้าหรือมวลภูติผีปีศาจ


สว่างหรือมืดดำ ที่โล่งหรือหุบเหว


เหน็บหนาว ระอุร้อน ฝนสาดซัด หรือเปลวไฟ


มิหวั่นไหวให้กายใจนั้นจำยอมจำนน


ทุบอกพลาง ชูมือกำหมัด ชกคว้างกลางอากาศ


เหมือนอยากบอกกับโลกให้รับรู้ว่า - -ข้าย่อมจักพบทางชนะ


(แต่ก็นั่นแหละ, บ่อยครั้งที่ข้ารู้สึกเหมือนว่า...


ท่ามกลางการชูมือนั้น, มีน้ำตาของความแพ้พ่ายหยาดซึมอยู่ภายใน)


 


นานเนิ่นนาน, กับการเดินขึ้นสู่ที่สูง สูงขึ้นไป...


เหมือนๆ ว่าเบื้องหน้าไม่ไกลนั่นคือเส้นชัยสูงสุด,ชีวิต


หากเปล่าเลย วิถีข้ายังคงเปล่าดาย...


 


หันมาดูข้างในดวงจิต,


พลังที่เคยมากล้นนั้นพลันหดหาย เหือดหาย


ความหวังถูกฉีกทิ้งเป็นริ้วๆ วิ่นแหว่งตกกระจายตามรายทาง


ความฝันอันมุ่งมั่นถูกบั่นทอนเหลือเพียงเศษเสี้ยวของความพยายาม


อา.โลกช่างลึกลับ ซับซ้อน ทับซ้อนเสียเหลือเกิน


 


หรือว่าเราต่างถูกโลกทุนนิยมกระชากออกจากโลกความจริงสามัญ


ทุกวัน ทุกวัน เราเดินออกจากห้องหับ ประตูบ้าน ทะยานไปตามท้องถนน


เราไล่วิ่งไขว่คว้าหาบางสิ่ง  และละทิ้งคุณค่าบางอย่าง


ใช่, เราเพียงวิ่งไล่ไขว่คว้าหาเพียงเศษชิ้นส่วนของความมั่งคั่ง


ยอมแม้กระทั่งก้มค้อมจำยอมให้มือแห่งอำนาจร้าย


แปดเปื้อน ปอกเปลือกตัวตน


อ้าแขนสมยอมสวมสอดใส่เสื้อผ้าอาภรณ์แห่งความลวงและโลภ


นานวัน เลือดสีแดงเริ่มจางกลายเป็นสีเงิน


ลมหายใจเข้าออกเน่าเหม็น  ซ่อนเร้นกิเลสหนา


เหยียดเย้ย  เหยียดหยาม ย่ำเหยียบบนร่างผู้คนที่ทุกข์ทน


หวังเพียงก้าวพ้นเพื่อไปสู่ความสูงแห่งชัยของตนเอง


 


วันผ่าน คืนเปลี่ยน...


ใช่, โลกยังคงหมุนเวียน หมุนไป โดยที่ข้าไม่รู้ตัว


หากวิถีข้ากลับทรุดอ่อนล้าโรยแรง


เพ้อพร่ำเฝ้าตั้งคำถามเหมือนคนเพ้อไข้


อยู่หนใดเล่าหนอ, พลังแห่งชีวิตที่เคยมี


บัดนี้สูญหายเหลือเพียงความล้าระโหยโรยแรง


บ่อยครั้ง, ข้ามองตัวเองเป็นเหมือนต้นไม้ตายซากใบร่วงโกร๋น


ที่ไร้ค่ารอล่มล้มลง


 


ค่ำนั้น, ในห้วงฤดูแล้ง


ข้าย้อนกลับคืนสู่บ้านเกิด


นั่งอยู่บนเนินเขาเหนือทุ่งไร่


ยินเสียงสายน้ำไหลแว่วมาแต่ไกล


ดวงตะวันอ่อนเศร้า ชีวิตหม่นเศร้า


ภูเขาสีเทา ฟ้าสีเทา ควันไฟสีเทา


ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีเทา...


ข้าพร่ำสนทนากับตัวเองอยู่อย่างนั้น


บางห้วงยาม ข้าร้องเพลงของความเปลี่ยวเหงา


เพียงมีสายลมเก่าแก่พัดมาทักทายมาเยือนเป็นเพื่อน


พึมพำ-พึมพำกับวิถีที่ผันผ่านมา...


อา.โลกช่างลึกลับ ซับซ้อน ทับซ้อนเสียเหลือเกิน


โอ. หรือว่าข้าใช้ชีวิตโง่เขลามากเกินไป.


 


                                    ภู  เชียงดาว./เมษายน 2549