Skip to main content

ผักบุ้งชูชีพ

คอลัมน์/ชุมชน

ทอดสายตาไปตามท้องทุ่งไกลๆ โน้น ทำให้เข้าใจว่าเป็นชาวบ้านในละแวกนี้มาเก็บผักบุ้งตามริมหนองน้ำ ที่ยังคงเหลือให้เห็นจากการถมที่ดินเพื่อทำเป็นโกดังเก็บของก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่พอเดินใกล้เข้าไปถึงรู้ว่า ใช่เลย... เขาเป็นชายคนหนึ่งมีอายุอานามประมาน 40 กว่าปี กำลังทอดสายตามองใต้แลเหนือ  ดูเหมือนเขากำลังรื้อฟื้นความทรงจำอะไรบางอย่างในอดีตให้ฟื้นตัวคืนมาอีกครั้งหนึ่ง


 


คิ้วทั้งสองข้างย่นเข้าหากัน สังเกตดูอย่างรอบคอบถึงรู้ว่ามีหยดน้ำตาหยดน้อยๆ ค่อยๆ ซึมออกมาสู่ขอบเบ้าตาแล้วไหลผ่านพวงแก้มที่มีรอยเหี่ยวย่นเป็นคลองลงสู่พื้นดิน สังเกตเห็นว่าเขาไม่ยอมเช็ดน้ำตา เขาปล่อยให้มันไหลลงอย่างงั้น ปล่อยให้มันไหลออกมาเพื่อคลายความเคร่งเครียดในอารมณ์ เขาทอดสายตาที่เจือปนด้วยคราบน้ำตาไปตรงยอดผักบุ้งที่กำลังทอดใบอ่อน ๆ ออกมาประมาณห้าหกยอด.


 


เขาพับเปลือกตาด้านบนเบา ๆ แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงอย่างนั้น  ตามร่องรอยยับย่นของใบหน้าและพวงแก้ม ไม่กี่วินาทีเขาก็เบิกตาให้กว้างแล้วมองออกไปด้านตะวันออก เห็นนกคู่หนึ่งกำลังเชิดเหินบินบนเวิ้งเวหาอย่างอิสระเสรี  เขาสะดุ้งตัวนิดน้อยเมื่อมีเสียงร้องเรียกมาจากด้านหลัง ขณะเดียวกันใบหน้าของเขาพลันเหลืองซีดขึ้นมาทันทีเมื่อเหลือบมองเห็นเจ้าของเสียงร้องเรียกนั้นคือ ลุงทอง


 


"ต๋าย ตาย นานแล้วน่ะ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน ! เจ้านายสบายดีบ่?"   ลุงทองถาม แต่เขาไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น แต่กลับก้มหน้าลงสู่พื้นดินบนริมหนองน้ำ ท่าทีลังเลนิด ๆ แล้วใช้มือสองข้างลูบไล้ตามใบหน้าสองสามหน ลุงทองเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนเอ่ยออกมาเบาๆ "หลานดำลงยังคงคิดถึงทุ่งนาผืนนี้ใช่มั้ย?"


 


คำพูดของลุงทองดูเหมือนเป็นแรงกระชากร่างกายที่ดูแข็งแรงของเขาต้องคุกเข่าลงที่ริมหนองน้ำทันทีที่ลุงทองพูดสุดประโยค  และแล้วภาพหลังเขาแต่งงานก็พลันพัดหวนคืนเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง...เมื่อพ่อแม่เดินมาหาเขาพร้อมเมียด้วยรอยยิ้มในมือมีกระดาษแผ่นหนึ่งยื่นให้เขา, เขาจับมาอ่านทันที "ใบมอบมอละดก"  ผืนนาสองทุ่งนับสิบแฮกต๋า  ด้านล่างของกระดาษแผ่นนั้นยังมีกระดาษแผ่นน้อยๆ เขาถกดึงมันขึ้นมาอ่าน "ของขวัญวันแต่งงานน่ะลูก ขอให้โชคดีน่ะ"


 


ดำลงและเมียของเขาขายที่นาหนึ่งผืนเพื่อแลกกับเงินเป็นทุนทางการค้า, เขาเริ่มธุรกิจด้วยการจำหน่ายของใช้ห้องกาน (Office) ผ่านไปไม่นาน  ผ่านคืนและวัน  ธุรกิจของเขาก็เติบใหญ่ขึ้นแล้วขยายตัวเรื่อยมา จนสามารถสร้างเป็นบริษัทก่อสร้าง จากงานที่ขยายตัวอย่างเร็วไว ก็สามารถสร้างบริษัทจำหน่ายรถยนต์ให้ผู้เป็นเมียดำเนินการ, มีพนักงานรับใช้ใต้บัญชานับร้อยคน.หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ ลุงทองที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างของเขาในขณะนี้เอง.


 


ดำลงทอดสายมองไปรอบ ๆ โกดังที่ใหญ่โตแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สีหน้าซีดเหลืองเหมือนคนใกล้จะเป็นลม  ภาพแห่งการต่อว่าต่อขานระหว่างเขากับลุงทองก่อตัวขึ้นและลุกลามใหญ่โตขึ้นทุกวันเพราะโครงการก่อสร้างโกดังแห่งนี้เอง.


 


"ไม่ใช่ว่า ลุงไม่อยากให้หลานเอาที่นานี้ทำเป็นโกดัง, แต่ว่าควรแบ่งไว้ส่วนหนึ่งให้เป็นทุ่งนาเหมือนเดิม..."


 


"โธ่ลุง! จะทิ้งไว้ทำไมเล่า ในเมื่อเราทั้งสองลุงหลานก็ทำธุรกิจด้วยกันอยู่แล้ว จะปล่อยมันทิ้งไว้ให้รกร้างทำไมกัน !"


 


"แต่อย่างน้อย เราก็ยังได้เห็นว่านี้คือ มรดกของพ่อแม่หลานทิ้งไว้ให้ ไม่ใช่หรือ ! โดยเฉพาะหนองผักบุ้งตรงนี้ !"


 


อย่างไรก็ตาม, ดำลงก็ไม่กล้าพอที่จะต่อว่าต่อขานกับลุงทองอย่างเปิดเผยเท่าใดนัก เนื่องจากลุงมีศักดิ์เป็นถึงพี่ชายของพ่อ ดำลงจึงได้แต่บ่นพึมพำๆ ทำริมฝีปากมุบๆ มิบ ๆ เหมือนกับหมอกำลังท่องคาถาอาคม


 


แนวคิดและพฤติกรรมของลุงหลานได้กลายเป็นหัวเรื่องซุบซิบสนทนาของพนักงานในบริษัทมากขึ้นทุกวัน. สายตาของดำลงที่จ้องมองลุงทองเริ่มเปลี่ยนแปลง. ความเข้าใจที่ต่างกันได้กลายเป็นเพลิงกองใหญ่ลุกลามขื้น เมื่อดำลงเป็นผู้ลงมือทำเอง โดยได้สั่งการให้คนงานและขบวนรถแทรกเตอร์เข้าไปถากถางขุดที่ดินที่นาผืนนั้นเพื่อทำเป็นโกดัง.


 


เสียงเคาะประตูสามที ยังไม่ทันมีเสียงตอบรับ แต่ผู้ที่เคาะประตูก็ย่างเข้ามาก่อนจะได้รับอนุญาต ดำลงทำสีหน้าไม่พอใจเมื่อผู้ที่เข้ามานั้นคือ ลุงทอง


 


"ท่านหัวหน้าจะทำโกดังจริงๆ เหรอ...?" ลุงทองถาม.


"มันก็มีความจำเป็นไม่ใช่เหรอ ? กิจการนับวันก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นนี่นา"


"แต่ว่าลุงขอร้องไม่ให้ถมหนองผักบุ้งไม่ใช่เหรอ ?...แต่ทำไมหนองน้ำต้องถูกถมหมด.?" ลุงทองพูดน้ำเสียงสั่นขาดถ้อยขาดคำด้วยความโกรธ


 


"แต่ลุงก็ไม่ได้เก็บผักบุ้งในหนองมากินนานแล้วไม่ใช่รึ?"


"ใช่ ! ลุงไม่ได้เก็บมากิน...และหลานเองก็ไม่ได้เก็บมันมากิน...แต่รู้มั้ยว่าคนแถวนี้เขาเก็บผักบุ้งในหนองน้ำที่นี้มากินกันทุกเช้าและเย็น  และนาผืนนี้ก็ควรจะเอาไว้เป็นที่นาสักแปลงหนื่งเพราะถึงอย่างไรนาผืนนี้ก็เลี้ยงชีวิตของคนหลายคนในละแวกนี้..."


"นี่ลุง!ผมเป็นเจ้านายลุง หรือลุงเป็นเจ้านายผมกันแน่หือ หัวหน้าบริษัทคือผมใช่มั้ย ?"


 


ดำลงลุกจากโต๊ะที่ทำงานใช้มือค้ำเอวด้วยใบหน้าที่แดงเข้ม. ยิ่งนับวัน สงครามน้ำลายระหว่างลุงทองกับดำลงยิ่งแรงขึ้น เหตุผลและอำนาจโต้แย้งกันอย่างน่ากลัว. วันนี้ทุกอย่างดูเคร่งเครียดไปหมด ไม่เหมือนวันวานที่ผ่านมา  หัวใจของคนสองคนเคยโล่งลอย บัดนี้พลันไขว้เขวและเริ่มเหินห่าง ทุกอย่างตกอยู่ที่เหตุผลและอำนาจ แล้วคำพูดที่หลายคนไม่อยากได้ยินก็หลุดปากดำลงออกมาจนได้


"ถมไปเลยที่นี่ไม่ใช่ที่นาของใคร ! ที่นี่เป็นที่นาพ่อกูเอง !"


 


ทุ่งนาที่เต็มไปด้วยหญ้าที่เขียวขจี เดี๋ยวนี้มีกำแพงที่ถูกก่อด้วยอิฐดินจี่ บริเวณโกดังถูกเทด้วยซีเมนต์.หนองน้ำผักบุ้งก่อนนี้เคยพายเรือไปมาได้อย่างสบาย บัดนี้เหลือให้เห็นไม่กี่บรรทัด ผักบุ้งที่ทอดเลื้อยก็เหลือไม่กี่ยอด เมื่อแนวคิดมันไม่เข้ากัน การกระทำก็สวนทางกัน ก้าวไปสู่การแตกหักของความเป็นลุงหลาน


 


...แล้วในที่สุด, เหมือนดั่งฟ้าลั่นทับหัวลุงทอง อาจเพราะด้วยเหตุและผลของคนด้อยอำนาจ ด้อยศักดิ์ศรี, ลุงทองถูกโยกย้ายจากตำแหน่งผู้จัดการบริษัทให้มาทำหน้าที่เป็นคนยามเฝ้าโกดังที่เพิ่งสร้างเสร็จ. ลุงทองกัดฟันทนทุกอย่างที่ตัวเองไม่อยากจะทน, ลุงต้องยอมรับในสิ่งที่ลุงไม่อยากจะยอม ชะตาชีวิตเริ่มเศร้าและมีราคีติดตัว. ลุงทองยอมทนแบกหน้าสู้กับพนักงานนับร้อย


"เป็นยังไง ! ลุงทองถูกเลื่อนตำแหน่งใหม่เหรอเนี่ย ?"


 


แล้วเสียงหัวเราะของคนจำนวนมากก็ดังขึ้น  ในขณะที่หัวใจของลุงดูเหมือนมีมีดมากรีด ทิ่มแทงลงแล้วเอาเกลือโรยใส่, ลุงต้องหลับตากลืนน้ำลายลงคอ แม้ว่าจะแสนลำบากก็ตามที.   


 


กิจการก้าวกระโดดเป็นศอกเป็นวาหน้าภาคภูมิใจของดำลง, เพียงชั่วพริบตาเดียวเขาก็กระ โดดขึ้นมานั่งบนกองเงินกองทองนับพันล้าน


"เราต้องทำทุกอย่าง ชนะคู่แข่งให้ได้ !"


 


บทเรียนการตลาดที่จู่โจมคู่แข่งอย่างที่คาดไม่ถึงของดำลงก็คือ ทำอย่างไรเพื่อชนะ,เขาไม่ได้กังวลเลยว่านั่นคือการหลอกลวง. ลุงในฐานะเป็นพี่ชายของพ่อทำได้เพียงแต่ติดตามเฝ้าดูผู้เป็นหลายชายอยู่ห่าง ๆ อย่างไม่มีพิษสงอะไร. ลุงยกมือไหว้ พร้อมเอ่ยรำพึงรำพันออกมาด้วยความขุ่นเคือง


 


"น้องเอ๋ย ! มรดกที่เจ้าสร้างไว้ เดี๋ยวนี้มันไม่เหลือให้เห็นอีกแล้ว ! จงอโหสิกรรมให้ดำลงมันด้วย.."  ลุงทองก้มกราบต่อหน้ากู่ที่บรรจุอัฐิลูกหนึ่งตรงท้ายวัด พร้อมกับน้ำตานองหน้า. เมื่อวางธูปลงแล้วลุงก็เบี่ยงตัวหันไปมองทางด้านหลังของชายป่า.ลุงพยายามสังเกตและนึกในใจว่าจะเห็นดำลงมากราบไหว้กู่บรรจุอัฐิของพ่อแม่, เพราะวันนี้คือเป็นวันครบรอบวันตายของพ่อแม่เขาเอง


 


"กูจะรอดูสิว่ามันยังเห็นหัวพ่อแม่ที่เกิดมันมาหรือเปล่า?"  ความคิดของลุงไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก็คิดว่าดำลงต้องมาแน่นอน. ลุงต้องรออย่างนั้นต่อไป...เวลาก็ล่วงเลยถึงเที่ยง...แล้วก็เลยถึงบ่ายโมง...


"มันไม่มาแน่นอน ไอ้ลูกเนรคุณ !" ลุงนึกในใจ.


 


ความหวังที่ลุงจะเห็นไอ้หลานชายมาก้มกราบของพ่อแม่แก แต่แล้วก็สลายไป. ลุงเดินกลับไปที่โกดัง, สิ่งแรกที่ลุงเห็นก็คือมีรถจำนวนมากจอดไม่เป็นระเบียบ, เสียงสนทนาของคนข้างในดัง ออกมาด้านนอก


"ถ้ารูปออกมาอย่างนี้มันก็หมายถึงการหลอกลวงกันเท่านั้นแหละว่ะ !.."


 


ลุงไม่กล้าเข้าไปข้างใน ได้แต่รอฟังอยู่ข้างนอก ประมาน 5 นาทีต่อมา เสียงสตาร์ทรถก่อนเคลื่อนกระชากออกจากโกดังไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับเสียงคนข้างในร้องเรียกโวยวายออกมา. ลุงไม่รู้อะไร แต่พอจะรู้ได้ว่าคงมีอะไรบางอย่างไม่ดีแน่นอน. จากนั้นมาไม่นาน ประมานหนึ่งเดือนข่าวก็ดังระเบิดไปทั่ว


 


จากการบันทึกสืบสวนทรัพย์สมบัติและแหล่งรายได้ ศาลแจ้งให้รู้ว่า ดำลง ฉ้อโกงเอาเปรียบคู่แข่งร้ายยิ่งกว่าโจรสลัด. ในที่สุด, เขาต้องขายบ้านและที่ดินทุกอย่างเพื่อใช้หนี้ เพราะศาลตัดสินให้เขาต้องชดใช้อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น


 


แล้วบรรทัดเส้นใหม่ได้ขีดเส้นชีวิตของเขา. ภาพความยากจนในเมื่อก่อน ที่เขาคิดว่าแสนทรมาน แต่ก็ยังมีทุ่งนาให้ทำกิน แต่เดี๋ยวนี้เขาหมดสิ้นแล้วทุกอย่าง...


 


ลุงทอดสายตาไปรอบ ๆ โกดังอันใหญ่โต...แล้วทอดสายตามองดำลงเงียบ ๆ และพินิจพิจารณา ลุงทองคงรู้แก่ใจว่า ดำลงคงคิดถึงอาดีต, ลุงเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วพูดว่า


"เวลานั้น ลุงคิดว่าลุงคงไม่ได้อยู่ที่นี่เสียแล้ว !"


"ทุกวันนี้ลุงยังคงทำงานที่นี้ใช่มั้ย?...ก็...ก็...ดีกว่าหลานตั้งหลายเท่านี่ !"


"เพราะเขาขอร้องให้ลุงดูแลโกดังให้เขา..."


 


ดำลงไม่กล้าแม้แต่สบสายตากับลุงทอง ดูเขาเขินๆ อายๆ อย่างไรบอกไม่ถูก. ลุงไม่ได้คุยอะไรกับดำลงมากนัก...แต่ลุงก็ต้องกล่าวคำลากับดำลงก่อนกลับบ้าน เพราะใกล้เที่ยงแล้ว.


 


ดำลงเหลียวตามลุงทอง จนลุงลับขอบชายป่า เขาเหลียวซ้ายแลขวาเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครจึงก้มลงเก็บผักบุ้งที่กำลังทอดยอดเขียวงามใส่ถุงพลาสติกแล้วเดินออกจากที่แห่งนั้นอย่างอึดอัดร้อนรน  ก่อนกลืนน้ำลายลงคอ...