Skip to main content

Dancer in the dark : เธอเต้นรำอย่างเดียวดาย

คอลัมน์/ชุมชน















ฉันได้ดูหนังเรื่องนี้ เพราะฉันรู้จัก Bjork เธอเป็นนักร้องคนหนึ่งที่ฉันเข้าไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นเพลงของเธอ ตัวตนของเธอ สิ่งที่เธอคิด ฉันรู้จักเธอเพียงในฐานะศิลปินหญิงเก่งที่ " บ้า " จิตไม่ปรกติ หรืออารมณ์ศิลปินจัดเกิน ตามที่สื่อต่าง ๆ เสนอภาพของเธอเป็นเช่นนั้น โดยที่ไม่เคยลองคิดที่จะเข้าใจเธอ ผ่านเสียงเพลง และเนื้อร้อง (ที่เขาว่าเป็นปรัชญาที่ลึกซึ้ง) อย่างจริงจังสักที ฉันเพียงรู้จักเธอผ่านอัลบั้ม debut อัลบั้มแรกของเธอที่ส่งให้เธอมีชื่อเสียงในฐานะศิลปินหญิงอีกหนึ่งคน และเป็นศิลปินชาวไอร์แลนด์คนเดียวที่ฉันรู้จัก


เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งที่เธอได้มาเปิดคอนเสิร์ตในเมืองไทยเมื่อหลายปีที่แล้ว การมาเปิดคอนเสิร์ตที่เมืองไทยของเธอ ได้สร้างข่าวเกรียวกราวแก่คนไทยเป็นอย่างมาก ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักว่าเธอเป็นใคร เพราะเมื่อเธอมาถึงที่สนามบิน เธอก็กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งที่เมืองไทยทันที เมื่อเธอกระโจนตัวเข้าทำร้าย ตบตี นักข่าวคนหนึ่งที่มาทำข่าวการมาเปิดคอนเสิร์ตของเธอ จากข่าวคราวที่เกิดขึ้น ยิ่งเป็นการตอกย้ำ " ความไม่ปรกติ " ของเธอ โดยเฉพาะความแปรปรวนทางอารมณ์ ในฐานะศิลปิน แต่จะมีใครไหมเข้าใจเธอ ที่ปกป้องลูกน้อยในฐานะแม่ เมื่อนักข่าวคนนั้นเอ่ยถามลูกของเธอในคำถามที่ไม่สมควร

 






และในวันหนึ่งฉันก็ได้รู้จักเธอคนนี้ Bjork อีกครั้ง ผ่านอีกบทบาทหนึ่ง ครั้งหนึ่ง และครั้งเดียวในการแสดงของเธอ ในบทบาท เซลม่า ใน Dancer in the dark เธอประกาศว่าเธอจะเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก และเรื่องเดียวในชีวิตของเธอ เพราะเธอเป็นศิลปิน นักร้องนักแต่งเพลง ฉันเห็นด้วย ไม่ใช่เพราะเธอแสดงไม่ดี แต่ฉันคิดว่ามันงดงามแล้วกับการแสดงเรื่องนี้ของเธอ ที่เป็นเรื่องแรกและเรื่องเดียว ถึงแม้จะมีใคร ๆ ค่อนขอดว่าเธอศิลปินจัดไปหน่อยก็ตาม


Dancer in the dark เป็นผลงานของผู้กำกับ Lars von trier ซึ่งเคยมีผลงานที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ Breaking the wave และเป็นผู้กำกับที่มีทั้งคนรักและคนหมั่นไส้ไปพร้อม ๆ กัน ที่ว่ามีคนรัก






อาจจะเป็นเพราะผลงานของเขาที่การันตีคุณภาพได้ ส่วนที่ว่าคนหมั่นไส้นั้น อาจจะเป็นเพราะความมีอารมณ์ศิลปินหัวขบถของเขาเอง โดยเขาร่วมกับผู้กำกับอีกคนคือ โธมัส วินเตอร์เบิร์ก ตั้งกฎเหล็กในการทำหนัง ปฏิเสธขนบในการทำหนังแบบเก่า ๆ หรือที่เรียกว่าลัทธิ Dogma 95 ทั้งสองคนได้ตั้งกฎเกณฑ์การทำหนัง 10 ข้อ ที่เรียกว่า Vow of chastity ซึ่งเน้นการทำหนังที่เรียบง่าย ไม่เน้นการปรุงแต่งจากเทคโนโลยี ถือเอาความจริงเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ฉาก แสง เสื้อผ้า ทุกอย่างล้วนต้องบริสุทธิ์ ห้ามปรุงแต่งแต่อย่างใด
 

ใน Dancer in the dark เราจึงได้เห็นภาพที่ต่างจากหนังฮอลลีวูดทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายหนังแบบแฮนเฮว ( Hand held ) ภาพจริงที่ปราศจากการจัดแสงเข้าช่วย และเรื่องราว คำพูด บทสนทนา ที่เหมือนคำพูดสด ๆ ที่ออกมาจากความรู้สึกของนักแสดง ฉันและเพื่อนหลายๆ คนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเราจึงรู้สึกว่า Bjork คือเซลม่า และทำไมเซลม่า ถึงดูเหมือนไม่ใช่เพียงตัวละคร และทำไมนักวิจารณ์หลาย ๆ คน บอกว่า Bjork แสดงได้ยอดเยี่ยม แต่แคทเธอรีน เดอเนิฟ กลับบอกว่า She cannot act She can just be


ฉันนั่งดูหนังเรื่องนี้ โดยที่ไม่รู้มาก่อนว่าเป็นหนังแนวอะไร ไม่รู้จักผู้กำกับคนนี้มาก่อน ไม่รู้จักนักแสดงคนอื่น ๆ ในเรื่อง รู้จักเพียงคนเดียว คือ Bjork และรู้ว่าเธอร้องเพลงในหนังเรื่องนี้ หลาย ๆ คนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้คงรู้สึกได้ถึงอารมณ์เดียวกันเหมือนกับฉัน คือความหดหู่แห่งชีวิต ก่อนที่หนังเรื่องนี้จะพาเราดำดิ่งไปสู่ความบีบคั้นทางอารมณ์ในตอนท้ายของเรื่อง และพาเราไปสู่จุดระเบิดแห่งอารมณ์ที่ถูกกดดันด้วยแรงบีบคั้นอย่างสูงสุดในตอนจบของเรื่อง


คงไม่มีใครอายที่จะร้องไห้กับหนังเรื่องนี้ เหมือนกับที่ฉันได้ร้องไห้ให้กับเซลม่า


ฉันรักเซลม่า รักที่เธอมีชีวิตด้วยความสวยงามบนโลกใบนี้ ก่อนที่เธอจะต้องประสบกับความหมองหม่นและมืดดำแห่งชะตากรรมของชีวิต เธออยู่คั่นกลางระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกแห่งความฝัน โลกแห่งความจริงที่เธอพบ และเข้าใจว่าอีกไม่นาน เธอกำลังจะตาบอด และสุดท้ายลูกชายของเธอก็จะตาบอดตามไปด้วย โลกแห่งความฝันที่ยังหล่อเลี้ยงความจริงในชีวิตของเธอ และตัวตนของเธอให้ดำรงอยู่ได้ โลกที่มีแต่เสียงเพลง การเต้นรำ เหมือนกับความใฝ่ฝันของเธอ ที่ต้องการจะแสดงละครเวทีในบทบาทของมาเรียน ใน The sound of music ฉันคิดว่านี่อาจจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เธอมี " ชีวิต "

บนโลกแห่งความจริงและโลกแห่งความฝัน ที่คาบเกี่ยวกันอยู่บนเส้นทางเดียว เหมือนกับในชีวิตของเซลม่า เธอฟังเสียงเครื่องจักรเป็นเสียงเพลง เป็นจังหวะดนตรี ที่บรรเลงสอดประสาน ปลุกความมีชีวิตของเธอ เสกปั้นสิ่งรอบตัวด้วยจินตนาการแห่งความใฝ่ฝันของเธอให้กลายเป็นฉากเต้นรำ ที่เธอเป็นตัวเอก เป็นนางเอกที่กระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะแห่งเสียงเพลงที่เธอจินตนาการขึ้น จากเสียงเครื่องจักรเป็นเสียงดนตรี จากชีวิตจริงเป็นโลกแห่งจินตนาการ แต่บางทีโลกแห่งความจริงและโลกแห่งความฝันอาจจะเป็นเหมือนเส้นขนาน เหมือนทางรถไฟที่เธอเอง ต้อง " คลำ " ทางเพื่อให้ไปสู่จุดหมายระหว่างบ้าน โรงงาน และที่ ๆ เธอซ้อมละครเวที


บนโลกแห่งความจริง ที่ความงดงามและความบริสุทธิ์อาจจะอ่อนแอและพ่ายแพ้เกินกว่าจะทนอยู่ได้ เซลม่าทำให้ฉันเห็นทั้งความจริงที่เป็นอยู่ และความจริงที่ต้องเสกสร้างขึ้นมา ในฉากที่เธอต้องคลำทางรถไฟกลับบ้าน เธอต้องใช้เท้าค่อย ๆ แตะทางรถไฟไปทีละน้อย ในขณะที่ดวงตาของเธอก็เริ่มที่จะมองไม่เห็นแล้ว ชายหนุ่มคนหนึ่งที่หลงรักเธอ ซึ่งเป็นเพื่อนกับเธอที่โรงงาน อาสาจะไปส่งเธอเอง พร้อมถามเธอว่าเธอมองไม่เห็นแล้วใช่ไหม ? เซลม่าตอบไปว่า "I've seen it all"


ใช่แล้ว ในเมื่อชีวิตนี้เธอเห็นมาทุกอย่าง ทุกอย่างที่เธอต้องการเห็น แล้วต่อไปนี้หากเธอจะไม่สามารถเห็นอะไรได้อีก แล้วจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า ? ในเมื่อเธอจะไม่ได้เห็นในสิ่งที่เธอได้เห็นมาแล้ว


เหมือนกับในฉากที่เธอถูกตัดสินประหารชีวิตในศาล เธอยืนขึ้น แล้วร้องเพลง My favorite things จาก the sound of music เพลงที่เธออาจจะได้ร้อง หากเธอไม่ถูกจับในข้อหาฆ่าคนตาย เธออาจจะร้องเพราะเธอเห็นว่าเธอไม่มีโอกาสจะได้ร้องอีกแล้ว แต่ฉันคิดว่าบางทีเธออาจจะร้องเพราะเธอกำลังแสดงให้เห็นว่า ศาลก็คือโรงละคร ที่ไม่เพียงแค่เธอมีหน้าที่ต้องแสดง แต่คนอื่น ๆ ก็กำลัง " แสดง " อยู่เช่นเดียวกัน ที่นี่ก็เป็นโรงละครที่เธอจะแสดงในบทบาทของเธอได้ เพราะที่นี่ไม่มีความจริง


ฉากสุดท้าย ฉากที่เธอจะต้องถูกแขวนคอบนตะแลงแกง เธอตาบอดสนิท แต่เจ้าหน้าที่ยังคงสวมถุงคลุมหัวเธอเหมือนกับนักโทษคนอื่น ๆ เธอร้องขอให้เอาถุงคลุมหัวออก ถึงแม้การสวมถุงคลุมหัวเธอไม่มีความจำเป็นเพราะถึงอย่างไรเธอก็ตาบอด มองไม่เห็น แต่เธอร้องขอ เพราะเธอหายใจไม่ออก


ลมหายใจ มีความสำคัญอย่างไรกับเธอ เพราะในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เธอกำลังจะตาย ฉันคิดเหมือนเซลม่า ลมหายใจมันมีค่าในทุกวินาทีของมัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่มันก็ยังคงเป็นสิ่งยืนยันว่าเรามีชีวิตอยู่


เธอเพียงขอให้เธอได้สูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย เพื่อเธอจะได้รู้สึกว่า เธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกอันโหดร้ายใบนี้