Skip to main content

สงกรานต์กับความจริงแบบไทยๆ

คอลัมน์/ชุมชน

ผู้เขียนได้หยุดยาวกว่าห้าวัน คือวันที่ 13-17 เมษายน 2550 วันที่เขียนนี้เป็นคืนวันที่ 16 ซึ่งก็กำลังเตรียมตัวจะกลับไปทำงานวันที่ 18 นี้ ในช่วงวันที่ 14-15 ที่ผ่านมาได้ไปที่พัทยา จึงออกไปเปิดหูเปิดตากับเค้าหน่อย ไม่เช่นนั้นก็หมกตัวอยู่แต่ที่ทำงานกับบ้าน ไม่ได้ไปเห็นอะไรแตกต่างกับชีวิตประจำวัน อีกอย่างบ้านที่อยู่ก็ร้อนตอนกลางวัน ถึงบ้านติดแอร์ก็ไม่น่าสนุกที่จะอยู่บ้านเมื่อพอมีเวลาเห็นอะไรที่ต่าง


 


แล้วก็ได้เห็นอะไรที่น่าสนุกจริงๆ ไม่ใช่อุบัติเหตุที่คร่าชีวิตคน แต่เห็นการจราจรที่ติดขัดบนถนนไฮเวย์เพราะมีจำนวนผู้ใช้มากมายและมักจะประมาท เกิดรถชนท้ายเป็นทอดๆ เห็นรถจอดเสีย เห็นการใช้ไหล่ทางโดยไม่จำเป็น เห็นการจอดรถเพื่อยิงกระต่ายข้างทางที่ไม่จำเป็นเพราะมีปั๊มน้ำมันอยู่ข้างทางเป็นระยะ ยกเว้นว่าจะไม่เตรียมให้ดีเวลาเดินทางจึงต้องลงไปมีกิริยาดังกล่าว อันนี้ก็ดูแล้วปลงว่าสังคมไทยไม่พัฒนา และถามยังยิงกระต่ายไปหัวเราะไปเป็นเรื่องน่าขำน่าสนุก ที่แย่กว่านั้นเห็นมีทานเหล้าในรถด้วย


 


ส่วนเมื่อกลับมาถึงกทม. แล้ว ก็เห็นการสาดน้ำบนถนน แบบตั้งประจำที่และแบบใส่รถปิ๊คอัพไล่สาด ไล่ฉีดไปตามถนน  ได้ข่าวว่าบ้างก็ได้ถึงกับขนาดปิดถนนกันเองเพื่อสาดน้ำดังกล่าว ทำให้เกิดความเดือดร้อนรถติดขัดเป็นชั่วโมงๆ แล้วที่มีข่าวว่ามีการเล่นที่เลยเถิดมีการโชว์เนื้อตัว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดได้ แต่ว่าน่าจะเป็นเฉพาะแห่งเฉพาะที่ไป ไม่ใช่ไปที่ไหนก็เจอได้ เมื่อความคะนองแบบสุดๆ เข้ามาในหัวใจ ในหลายประเทศก็มีเทศกาลหลุดโลกแบบนี้ คนไทยเอาอย่างก็น่าจะเอาอย่างที่เป็นระเบียบหน่อย คือมีพื้นที่เฉพาะไปเลย ไม่ต้องปะปนไปทุกแห่ง จังหวัดหนึ่งอาจมีสักจุดที่หลุดโลกไปเลย เหมือนถนน Bourbon ที่ New Orleans เมื่อมีงานมาดิกราส์[1] เป็นประจำทุกปี แต่ตรงนั้นไม่มีอุบัติเหตุดุเดือดแบบที่เราเห็นกันในเมืองไทย


 


จากสถิติที่ได้ในวันที่ 11-15 เม.. 2550 นั้น มี


(1) อุบัติเหตุรวม 3,406 ครั้ง มากกว่าปี 2549 จำนวน 9 ครั้ง (เพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.26)


(2) ผู้เสียชีวิตรวม 273 คน น้อยกว่าปี 2549 จำนวน 38 คน (ลดลงร้อยละ 12.22 )


(3) ผู้บาดเจ็บ รวม 3,832 คน มากกว่าปี 2549 จำนวน 51 คน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.35)


สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุเกิดจาก


(1)    การเมาสุรา ร้อยละ 40.85


(2)    ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 18.29 และ


(3)    ขับรถตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ 10.43 ตามลำดับ


เฉพาะวันที่ 15 เม.. วันเดียว อุบัติเหตุเกิดขึ้น 585 ครั้ง มี (1) ผู้เสียชีวิต 37 คน (2) บาดเจ็บ 650 คน[2] อันนี้ไม่ได้รวมที่มีภัยน้ำตกที่ตรัง


 


จำได้ว่าแม้ในช่วงฉลองคริสต์มาสหรือวันขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐฯ ที่มีการเดินทางกลับบ้านกัน ก็มีอุบัติเหตุเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าของปีใหม่และสงกรานต์ของไทยมาก เป็นเพราะว่านอกจากพฤติกรรมทางสังคมที่แตกต่างแล้ว ยังรวมถึงปัจจัยทางกายภาพเช่นการสร้างถนนหนทางที่มีมาตรฐานกว่า การผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพมากกว่า อันนี้คงเป็นเรื่องที่บอกว่าเมืองไทยจริงๆ นั้นยังไปไม่ถึงดวงดาว ในการพัฒนาที่ยั่งยืน


 


ทั้งนี้ทั้งนั้นมาจากเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมในบรรดาสมาชิกในสังคมไทยเอง หลายครั้งเองก็คือการที่สังคมไทยขอแก้ปัญหาในระดับผิวๆ ไปก่อน เช่นการมีถนนคือให้มันมีเป็นถนน การมีสนามบินให้มันมีเป็นสนามบิน ให้มีพิธีเปิดยิ่งใหญ่ แล้วมีรถมีเรือบินมาวิ่งมาใช้สักสองสามวัน จากนั้นก็ค่อยมาซ่อมกันไปเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่น่าจะเป็น พูดง่ายๆคือเป็นเรื่องผักชีโรยหน้า การสร้างถนนสร้างสนามบินคือชิ้นเค้กก้อนใหญ่ของผู้รับผิดชอบโครงการ และเรื่องการรณรงค์ต่างๆ ก็เหมือนไฟไหม้ฟางไปเสียทุกเรื่อง ทำให้หลายๆ อย่างต้องจบแบบโอละพ่ออย่างเลี่ยงไม่ได้


 


ผู้เขียนได้เห็นพฤติกรรมดังกล่าวของสังคมไทยมาช้านาน แต่ก็ยอมรับว่าระยะหลังนี้ สังคมไทยมีอะไรเปลี่ยนไปมาก มีอะไรหลายอย่างเหมือนตะวันตกมากขึ้น ไม่ว่าในด้านใดๆ เพียงแต่ขาดหลายจุดที่สำคัญเช่น วิธีคิดที่ใช้หลักของเหตุผล รู้จักตั้งคำถามเรื่องความเท่าเทียมกันในสังคม (แม้จะมีกลุ่มต่างๆออกมาโวยวาย แต่ก็ไม่ได้ผลนัก กลายเป็นว่าโวยวายไปทำไม) และการรู้จักหน้าที่พลเมืองที่ดี  ดังนั้นกว่า11 เดือนที่ผ่านมาจึงได้รู้จักสังคมไทยดีขึ้นมาก สงกรานต์นี้ก็ให้เห็นอะไรอีกหลายๆ อย่างเช่นกัน


 


เหลือพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน ก็ครบวันหยุดที่ราชการให้มา ก็จะไปนั่งทำงานต่อที่ค็อฟฟี่ช็อพที่ไหนสักแห่ง นั่งทำงานไปคอยให้ถึงวันที่กลับไปทำงานใหม่ นึกแล้วก็คิดว่าวันหยุดนั้นยาวไปสำหรับคนอย่างผู้เขียนเพราะไม่ได้มีอะไรที่ต้องหยุดยาว แต่เข้าใจว่าเหมาะสำหรับคนที่ต้องไปเยี่ยมครอบครัวที่อยู่ไกล อันนี้เป็นเรื่องที่หากคนไม่เคยทำงานไกลบ้านหรือห่างจากบ้านแบบยาวๆ อย่างที่ผู้เขียนเคยเป็นมาก็จะไม่เข้าใจว่า วันหยุดยาวๆ เป็นเหมือนกับโอเอซิสในทะเลทราย ทำให้มีโอกาสได้เติมน้ำอันชุ่มฉ่ำในความรู้สึกได้บ้าง


 


ผู้เขียนดีใจแทนหลายคนที่ได้กลับไปเยี่ยมบุคคลที่รักที่อยู่ไกล เป็นการดีที่ได้พบได้เจอกัน และได้สร้างสัมพันธ์ให้ต่อเนื่อง ไม่ให้ขาดหาย แม้ว่าประเทศไทยไม่ได้ใหญ่โต เดินทางถึงกันไม่นานก็ถึง มีเงินหน่อยก็ขี่เรือบินได้ แต่ก็ไม่มีมากนักหรอกที่ทำได้ เพราะคนที่ทำได้ก็ไม่ต้องการวันหยุดยาวๆ นัก ส่วนมากของคนที่กลับบ้านแบบยาวๆ คือ คนที่ไม่สามารถจ่ายได้กับค่าเดินทางแพงๆ ดังนั้น การมีวันหยุดยาวๆ คือการให้โอกาสคนรายได้น้อยได้มีโอกาสเจอบุคคลที่รักได้


 


และนี่คือเรื่องที่สังคมไทยควรจะมองให้ชัดเจนว่า (1) สงกรานต์ไม่ใช่เทศกาลแห่งความสนุกสนานสุดเหวี่ยงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่ควรให้เห็นความสำคัญของคนที่ด้อยโอกาสกว่าคนอื่น ที่จะสามารถกลับบ้านไปหาบุคคลที่รักได้ และทำให้การเดินทางนั้นปลอดจากภัยอันตราย (2) เมื่อใช้เวลาอยู่กับบุคคลที่รักก็ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เปลี่ยนที่กินเหล้าเท่านั้น  (3) คนที่ไม่ต้องเดินทางก็มีเวลาที่จะได้พักจริงๆ ไม่ใช่มาสนุกกันจนเลยเถิดและเอาคำว่าเทศกาลมาเป็นข้ออ้าง การที่มีเสรีภาพส่วนบุคคลต้องเข้าใจด้วยว่าต้องไม่ไปย่ำยีเสรีภาพของคนอื่นด้วย


 


ปัญหาสำคัญในเมืองไทย ไม่ใช่เรื่องการยกระดับคนรากหญ้าให้เป็นรากแก้วในเชิงฐานะทางเศรษฐกิจสังคม แต่ควรมองในเรื่องสำนึกของคนทุกระดับ สังคมไทยนี่เป็นสังคมที่มีความเข้มข้นและเข้มงวดในเรื่องช่วงชั้นในสังคม ซึ่งเคยใช้ได้ดีในสังคมนี้แต่เดิมๆ มา  แต่วันนี้คงต้องปรับให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะในเรื่องระบบความคิดที่ต้องให้ทุกระดับมี literacy ให้ชัดเจนกว่านี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นง่ายๆและชัดเจนคืออุบัติภัยต่างๆนี้แหละเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าสังคมไทยขาดการพัฒนาบุคลากรที่ยั่งยืน จึงไม่มีการมองปัญหารอบด้านอย่างมีวิสัยทัศน์ และราคาของคนไทยทั่วไปที่ไม่ใช่คนพิเศษก็ถูกแสนถูกและไม่ต่างกับก้อนเนื้อเละๆ สักเท่าไรนัก


 


ถ้าสังคมไทยสามารถตั้งคำถามได้ว่าทำไมทุกปีต้องตายกันเป็นร้อยๆ ในระยะสั้นๆ เสียหายหนักกันขนาดนี้ ทำไมเหตุร้ายๆ ที่เกิดขึ้นจึงเกิดบ่อยขึ้น ที่เป็นเช่นนี้ก็คือการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทั้งสิ้น และที่เกิดขึ้นนี่ก็คือการไม่ได้รู้จักคิด ไม่รู้จักตอบปัญหา นี่แหละที่ชนชั้นปกครองอยากให้มีอยากให้เป็นตลอดการ  ต่อให้มีรัฐธรรมนูญฉบับวิเศษก็คงไม่ช่วยอะไรถ้าสมาชิกในสังคมไทยยังติดกับระบบความคิดแบบเดิมๆ และต่อสู้ไม่เป็น (สงสัยยังสนุกกับการดูละคอนทีวี กับฟังเพลงและการบันเทิงในหลากรูปแบบ) และการต่อสู้ต้องใช้เวลาทั้งสิ้น การลุกฮือขึ้นมาสมัยนี้ไม่มีผลในด้านบวกอีกแล้ว


 


เดี๋ยวเดือนหน้าจะมีวันหยุดยาวแบบย่อยๆ อีกแล้ว อยู่เมืองไทยนี่ก็ดีไปอย่าง มีอะไรให้หยุดบ่อยดี คงมีอะไรมาเล่ากันอีก ขอสวัสดีสงกรานต์ไทยมา ณ ที่นี้







[2]               ข้อมูลตัวเลขทั้งหมดได้มาจาก http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9500000043417