Skip to main content

Contact : หากเพียงแค่เราศรัทธา

คอลัมน์/ชุมชน








มีใครเคยดูหนังเรื่องหนึ่งหลาย ๆ รอบไหม อาจจะเริ่มต้นด้วยการไปดูที่โรงหนังในรอบแรก ตามติดมาด้วยการเช่าหนังเรื่องเดิมจากร้านเช่าวีดีโอมาดู อาจจะเพราะต้องการรื้อฟื้นความรู้สึกเก่า ๆ หรือยังคงชื่นชอบเรื่องราวในหนังนั้นอย่างไม่รู้ลืม ในรอบที่สามอาจจะเป็นการฉายซ้ำทางเคเบิ้ลทีวี หรือทางรายการโทรทัศน์ในหนังดังคืนวันศุกร์หรือคืนวันเสาร์ก็แล้วแต่ และในคืนนั้นหนังเรื่องนี้อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่น่าสนใจที่สุดในจอโทรทัศน์ก็เป็นได้ สุดท้ายแล้ว หนังเรื่องนี้ก็อาจจะกลายมาเป็นหนังในดวงใจ หรือหนังที่เราเบื่อหน่าย ก็ขึ้นอยู่กับใจของแต่ละคน


ฉันดูหนังเรื่องนี้ด้วยเหตุการณ์ในทำนองคล้าย ๆ กันกับที่เล่าไว้ เพียงแต่เป็นการตามติดด้วยความสนใจ และรักในหนังเรื่องนี้ เชื่อไหมว่าฉันดูหนังเรื่องนี้มากกว่า 20 รอบด้วยกัน การเริ่มต้นของฉันกับหนังเรื่องนี้ก็เพราะด้วย จูดี้ ฟอสเตอร์ ฉันชอบเธอ การแสดงของเธอ สิ่งที่เธอคิดและพูด โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเธอตกลงเล่นหนังเรื่องนี้ด้วยเหตุผลของบทที่น่าสนใจ ฉันเชื่อในการตัดสินใจของเธอ และเฝ้าคอยติดตามผลงานเรื่องนี้ของเธอ


มีใครชอบดูดาวไหม มีใครชอบมองท้องฟ้าเหมือนกันไหม ฉันเชื่อว่า เมื่อเราเด็ก ๆ หลาย ๆ คนก็คงเคยคิดตั้งคำถามเหมือนกันว่าบนฟากฟ้าสีครามที่เราจ้องมองอยู่นั้นมันมีอะไร ขอบฟ้าที่เรามองเห็นไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ท่ามกลางแสงดาวที่ส่องประกายบนท้องฟ้ายามราตรีนั้น จะมีใครคอยจ้องมองเราอยู่เช่นเดียวกันรึเปล่า? ฉันเฝ้าถามตัวเอง แต่ไม่เคยเลยที่จะคิดหาคำตอบ หรือตั้งสมมติฐานไปไกลมากกว่านี้ ไม่เหมือนกับเอลลี่ ที่คอยจ้องมองท้องฟ้า แล้วเฝ้าถามว่าบนนั้นมีอะไร แล้วเธอก็กำลังจะหาคำตอบกับมัน


คงเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวใช่ไหม ฉันตื่นเต้นมากเมื่อได้รู้เรื่องนี้ หัวข้อนี้เป็นที่ถกเถียงกันในหมู่เพื่อนฝูงเมื่อฉันยังเด็ก และเราก็ค่อนข้างสนอกสนใจ กับเรื่องราวที่แสนลึกลับนี้ รูปถ่าย ข่าวคราวตามหนังสือที่ออกมาเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว และจานผี ล้วนเป็นปริศนาในวัยเยาว์ ที่สืบเนื่องมาจากคำถามเพื่อไขปริศนาแห่งโลกและจักรวาลของฉันและเด็ก ๆ ทุกคน ว่าบนท้องฟ้านั้นมีอะไร


เอลลี่ เรียนรู้จักรวาลอันกว้างใหญ่ด้วยกล้องดูดาวที่พ่อของเธอซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด เธอเฝ้ามองดวงดาวทุกค่ำคืน พูดคุยกับพวกมันเสมือนเพื่อนที่รู้จักกันมานาน แล้วเธอก็เดินตามรอยแห่งความสงสัยเมื่อวัยเด็ก เพื่อที่จะไขปริศนาแห่งจักรวาลของเธอ และมนุษยชาติทุกคน


ทุก ๆ วันเอลลี่จะคอยนั่งฟังเสียงสัญญาณที่อาจจะส่งผ่านมาหาเธอจากที่ใดที่หนึ่ง หรือดวงดาวดวงใดดวงหนึ่งในจักรวาล เธอหวัง และเชื่อว่า บนฟากฟ้านั้นจะมีคำตอบให้แก่เธอ ด้วยการส่ง "สัญญาณ" โดยตรงมาที่เธอ เพื่อที่จะนำเธอไปค้นพบคำตอบเพื่อไขปริศนาในทุกสิ่ง และแล้วในวันหนึ่งในขณะที่เธอนั่งรอสัญญาณแห่งคำตอบของมวลมนุษยชาติเหมือนดังเช่นทุก ๆ วัน เธอกลายเป็นผู้ที่ "ถูกเลือก" เพื่อที่จะ "เดินทาง"ไปสู่การหาคำตอบนั้น
"For as long as I can remember I've been searching for some reason why we're here - what are we doing here - who are we ? If this is chance to find out even just a little part of that answer, I think it's worth a human life don't you"


ฉันก็เคยสงสัยเหมือนเอลลี่ ว่าทำไมเราเราต้องมาอยู่บนโลกใบนี้ เราเกิดมาเพื่ออะไร และเราเป็นใคร ภายใต้คำนิยามของจักรวาล แต่คำถามนี้คงเป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าโลกใบนี้จะแบกรับไว้ได้ บางทีคำตอบอาจจะอยู่นอกเหนือไปจากโลกที่เราอยู่ เอลลี่เธอเชื่อเช่นนั้น


เอลลี่เธอพูดไว้อย่างนี้ก่อนที่เธอจะได้ขึ้นไปบน "ยานอวกาศ" ที่ถูกสร้างขึ้นจากการ "แปลรหัสลับ" ที่เชื่อกันว่าถูกส่งมาโดยสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่มีวิวัฒนาการสูงกว่ามนุษย์โลกอย่างเรา ๆ ในความพยายามครั้งที่สองหลังจากที่ในครั้งแรกเอลลี่เธอไม่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ ในการปฏิบัติการเพื่อไขปริศนาแห่งมนุษยชาติ ไม่ใช่เพราะเธอไม่เก่ง ไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิง แต่เป็นเพราะเธอ "ไม่เชื่อในพระเจ้า"


เธอเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้เหมือนวิทยาศาสตร์ เธอจึงไม่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เพราะคนกว่าค่อนโลกนับถือศาสนาคริสต์ เชื่อในพระเจ้า แล้วผู้ที่เชื่อไม่ในพระเจ้าจะมาเป็นตัวแทนของคนส่วนมากที่เชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร


พระเจ้าเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ -- ความเชื่อ ความศรัทธาในพระเจ้าจึงเป็นเรื่องที่เหลวไหล ?
วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องพิสูจน์ได้ - ความเชื่อในวิทยาศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่มีเหตุผล ?


ที่ฉันดูหนังเรื่องนี้หลายรอบต่อหลายรอบ ก็เพื่อที่จะหาคำตอบในแต่ละรายละเอียดของคำถาม คำตอบที่จะช่วยไขปริศนาของจักรวาล และไขปริศนาแห่งศาสนา พระเจ้า และวิทยาศาสตร์


Contact สำหรับฉัน ไม่ใช่เป็นเพียงหนังฮอลลีวูดแต่มันเป็นเหมือนหนังสือปรัชญาเล่มหนึ่ง ที่กำลังพาฉันเข้าไปตรวจสอบระบบความเชื่อของตัวเอง และกระตุ้นต่อมคำถามแห่งศาสตร์ของโลกสมัยใหม่เพื่อที่จะมองย้อนกลับไปในโลกแห่งอดีต เชื่อมโยงคำอธิบายหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อหา "สาร" ที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะส่งมาถึงฉัน


หากพระเจ้าเป็นเพียงเอกอุดมคติที่พิสูจน์ไม่ได้ มีทั้งผู้ที่เลือกที่จะเชื่อ และเลือกที่จะปฏิเสธ มนุษย์ต่างดาวก็คงเป็นเช่นพระเจ้าเพราะมีทั้งผู้ที่เคยกล่าวอ้างว่าเคยได้สัมผัส มีทั้งเรื่องราวที่สามารถอ้างถึงได้ แต่ยังไร้ซึ่งการพิสูจน์ พระเจ้ากับมนุษย์ต่างดาวจึงเหมือนกัน หากคุณเชื่อในพระเจ้าคุณก็จะต้องพิสูจน์ความมีอยู่จริงของพระองค์ เช่นเดียวกันถ้าหากคุณเชื่อในมนุษย์ต่างดาว คุณก็ต้องพิสูจน์ความมีอยู่จริงของมนุษย์ต่างดาว


เอลลี่เชื่อในมนุษย์ต่างดาว และเธอต้องการที่จะพิสูจน์
จอสส เชื่อในพระเจ้า แต่เขาไม่ต้องการพิสูจน์เพราะเขามีเพียงศรัทธา


สุดท้ายเมื่อเอลลี่กลับมาจากสิ่งที่เธอได้พบเห็น ที่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าคืออะไร นั่นคือดาวดวงไหนที่เธอได้ไปมา มนุษย์ต่างดาวใช่หรือไม่ที่เธอได้ไปพบมา มีเพียง "เธอคนเดียว" ที่รู้ เพราะเธอคือผู้ที่ "ถูกเลือก" ผู้ที่ได้ "รับสาร" นั้นจากมนุษย์ต่างดาว แต่ทุกอย่างอยู่นอกเหนือการพิสูจน์ถึงความจริง แต่ความเชื่อความศรัทธาของเธอนั้นยังมีอยู่


ชะตากรรมของเอลลี่คงไม่ต่างอะไรกับผู้ที่บอกว่าได้สัมผัสกับพระเจ้า ได้ติดต่อกับพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกให้นำสารมาสู่มวลมนุษย์ แต่เป็นผู้ที่ไม่มีใครเชื่อ เพราะการมีอยู่ของพระเจ้าเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้เช่นเดียวกันกับมนุษย์ต่างดาว


ในขณะที่ความศรัทธา เป็นเครื่องมือ ในการเข้าถึงพระเจ้า
วิทยาศาสตร์ก็คงเป็นเพียงเครื่องมือในการค้นหามนุษย์ต่างดาว


ฉากหนึ่งที่ฉันเห็นว่าเป็นคำตอบของทุกสิ่ง คือตอนที่เอลลี่คุยกับจอสส จอสสถามถึงความเชื่อของเธอต่อพระเจ้า เธอตอบว่าเธอไม่เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แล้วจอสสก็ถามเอลลี่ถึงพ่อของเธอที่เสียชีวิตไป แล้วถามเอลลี่ว่าเธอรักพ่อของเธอไหม ? เอลลี่ตอบว่ารัก สุดท้ายจอสสก็บอกว่า "พิสูจน์สิ"


เพราะบางที่สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ใช่ว่าไม่มีอยู่จริง