Skip to main content

เหล้าและชีวิตกับมิตรสหาย

ผมลดละการดื่มมาได้สอง-สามปีแล้ว


ถึงแม้ผมจะเป็นคนที่ไม่ค่อยดื่มมากเหมือนคอเหล้าตัวจริงทั้งหลายแหล่ แต่ผมก็ดื่มน้อย ๆ หรือดื่มแต่พอควรแบบสะสมต่อเนื่องกันมาหลายปี ทั้งนี้เนื่องมาจากการทำงานเล่นกีตาร์และร้องเพลงในห้องอาหาร ซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องคลุกคลีตีโมงกับเครื่องดองของเมาโดยตรง ทำให้ผมต้องมีเรื่องดื่มกินกับใครต่อใครในที่ทำงานแทบไม่เว้นแต่ละวัน ตั้งแต่เจ้าของร้าน เพื่อนร่วมงาน มิตรสหาย แขกที่มาใช้บริการ จนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทันทีที่ผมหิ้วกีตาร์เข้าไปในที่ทำงาน


 


ตลอดเวลาที่ผมดื่มเพราะอาชีพแบบนี้ ผมไม่เคยคิดว่าจะมีปัญหาร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองเพราะการดื่มเหล้า จนกระทั่งมาระยะหลัง ๆ ก่อนที่ผมจะลดละการดื่ม ผมค่อย ๆ เริ่มพบว่าวันไหนที่ผมดื่มและเพลิดเพลินจนเผลอไปดื่มหนัก ตื่นขึ้นมารุ่งเช้าอีกวัน นอกจากอาการทางร่างกายที่อ่อนเพลียและปวดหัว ซึ่งเป็นอาการปกติของคนที่ดื่มมากและยังเมาค้างอยู่


 


ผมพบว่าผมยังมีอาการทางจิตประสาทแทรกซ้อนเข้ามา นั่นคือ อาการซึมเศร้าหดหู่ รู้สึกผิดและคิดฟุ้งซ่านหวาดกลัวอะไรต่อมิอะไรไปสารพัด (แม้กระทั่งความคิดของตัวเอง) ทั้ง ๆ ที่อาการจิตประสาทที่น่ากลัวแบบนี้ เท่าที่ผ่านมา นานที่ปีหนจึงจะเกิดขึ้นกับผมสักทีเวลาเผลอไปดื่มหนัก  แต่มาคราวนี้...ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เผลอตัวคราวใด เป็นได้เรื่องคราวนั้น


 


ทันทีที่แน่ใจ


ว่าสัญญาณของชีวิตนี้ เป็นสัญญาณอันตรายแน่ ๆ ด้วยรักและเป็นห่วงตัวเอง ผมจึงค่อย ๆ ลดละการดื่มลง เพราะผมไม่ชอบตกอยู่ในอาการทางจิตประสาทแบบนี้ คนที่เคยมีอาการทางจิตประสาทแบบนี้ ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการดื่มมากหรือด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ คงรู้กันดีนะครับ ว่ารสชาติความทุกข์ทรมานของมันเป็นอย่างไร ที่พูดกันว่านรกมีจริง นี่...คือนรกที่มีจริงขุมหนึ่งที่ผมตกมาเรียบร้อยแล้ว ผมจึงไม่อยากตกอีกต่อไป


 


เพราะนอกจากผม จะนึกเข็ดขยาดความทุกข์ทรมานที่ผมได้รับจากการตกนรกขุมนี้แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือ ผมเป็นคนที่รักและหวงแหนสมองและจิตใจของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เพราะผมตระหนักแน่ชัดมานานแล้วว่า ถึงแม้ร่างกายของคนเราจะแข็งแรงสักเพียงใด แต่ถ้าสมองและจิตใจสูญเสียความเป็นปกติไปจนกู่ไม่กลับ ชีวิตนี้แย่เลยนะครับ ถ้าหากเราต้องกลับกลายเป็นคนที่เหลือความเป็นคนอยู่เพียงครึ่งเดียว นั่นคือเหลือแต่เพียงร่างกาย เหมือนคนครึ่งคนมากมายหลายคนที่ต้องเข้าไปอยู่ในการควบคุมดูแลของโรงพยาบาลโรคจิตประสาท และ นี่คือเหตุผลสำคัญของชีวิตข้อหนึ่ง ที่ทำให้ผมหลุดออกมาจากงานกลางคืนที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจ แล้วไม่อยากหวนคืนกลับไปหามันอีก


           


นับตั้งแต่นั้นมา


ผมก็ค่อยลดการดื่มลง ยิ่งออกจากงานกลางคืนโยกย้ายจากสังคมในเมืองกลับมาอยู่บ้านที่สันป่าตอง ผมแทบไม่มีเรื่องที่ต้องดื่มเพราะความเกรงใจหรือสมัครใจกับใคร โดยเฉพาะกับมิตรสหายที่ชอบพอกันและชอบดื่มด้วยกันทั้งชายและหญิง เช่น พี่แสงดาว ศรัทธามั่น ไพฑูรย์ พรหมวิจิตร อัคนี มูลเมฆ บัณรส บัวคลี่ ตู่ เก๋ เจี๊ยบ น้องนาย เจ๊คิม สาววิ ฯลฯ ซึ่งต่างก็ทำงานและใช้ชีวิตวนเวียนกันอยู่ในเมือง ซึ่งถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งผมจะไม่ปฏิเสธ เพราะผมได้เรียนรู้สัจจะข้อหนึ่งของชีวิตมานานแล้วว่า ความสุขอย่างถึงที่สุดประการหนึ่งของชีวิตคนเรา คือการได้ร่วมดื่มกินและพูดคุยกับคนที่ชอบพอกัน


 


ยกเว้นบางวัน ผมรู้สึกเหงาหรือเบื่อเพราะจำเจอยู่กับบ้านนานเกินไป พอถึงเวลาเย็นย่ำ ผมจะออกไปนั่งร้านเหล้าตอง (ร้านขายเหล้าทีละก๊ง ทางเหนือเรียกว่าร้านขายเหล้าตอง ตองหนึ่งก็คือก๊งหนึ่งนั่นเอง) สักสองสามแก้วพูดคุยกับผู้คนพอครึ้มอกครึ้มใจแล้วก็กลับบ้าน


 


แต่วันไหนที่มิตรสหายในเมืองดังที่ได้กล่าวมาแล้วมาเยี่ยมเยือน หรือมีการนัดหมายให้ผมไปพบปะด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ซึ่งมักจะเริ่มต้นหรือไม่ก็จบลงด้วยการดื่มและพูดคุยกันอย่างยาวนาน ผมก็จะพยายามดึงตัวเองเอาไว้ ด้วยการผสมเหล้าบาง ๆ และค่อย ๆ จิบไปช้า ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเมาถึงขีดอันตรายที่ผมกำหนดเอาไว้ให้ตัวเอง


 


แต่ทั้งๆ ที่ตั้งกฎปฏิบัติกับตัวเองเคร่งครัดถึงเพียงนี้ บางครั้งผมก็ยังปล่อยตัวเองดื่มหนักและมีอาการปางตายอยู่ ที่เป็นเช่นนี้ มิใช่เป็นเพราะผมเผลอไผลขาดสติ แต่เป็นเพราะว่าผมสมัครใจแหกกฎมรณะของตัวเอง เพราะมีบางสิ่งบางอย่างในการดื่มครั้งนั้น  เป็นสิ่งเร้าใจ และมีคุณค่าควรแก่การเสี่ยงเอาชีวิตเข้าแลกนั่นเองแหละครับ


 


แต่วันคืนแห่งการดื่มพบปะกันเช่น นี้ก็ไม่ค่อยจะมีบ่อยนัก เพราะเดี๋ยวนี้ บ้านผมอยู่ไกลจากในเมืองตั้งสามสิบกิโลเมตรแน่ะ!


 


ตราบเท่าทุกวันนี้


และขณะที่ผมกำลังเขียนต้นฉบับนี้ ผมมั่นใจว่าผมไม่ติดเหล้า เพราะเมื่อโยกย้ายมาอยู่ที่นี่ บางที...เป็นเวลาน้าน –นานตั้งเดือนสองเดือน ผมไม่มีเหล้าตกท้องแม้แต่หยดเดียว และลืมไปว่าโลกนี้ยังมีเหล้า  ผมก็ไม่รู้สึกกระวนกระวายเดือดร้อนแต่ประการใด


 


ทุกวันนี้ ผมจึงเป็นห่วงตัวเองในเรื่องนี้ขึ้นมาอีกประการหนึ่ง นั่นคือ -ผมกลัวว่าผมจะลืมตัวว่าผมเป็นคนที่เคยดื่มเหล้ามาก่อน เหมือนคนบางคนที่เคยดื่มแบบหัวราน้ำมาเนิ่นนาน แต่ต่อมาได้เกิดปาฏิหาริย์กับชีวิต ทำให้เขาลดละและเลิกเหล้าได้อย่างเด็ดขาด แล้วกลายเป็นคนที่เกลียดคนที่ดื่มเหล้า และคอยตำหนิติเตียนคนที่เขายังดื่มอยู่ ทำราวกับว่าตัวเองมิใช่ดอกบัวที่บานออกจากโคลนตมแห่งความมึนเมานี้


 


เรื่องการลดละการดื่มเหล้าแต่ยังไม่ยอมเลิกของผม เพราะรักและเป็นห่วงสมองและจิตใจของตัวเอง  ก็มีสาระอยู่เพียงแค่นี้ ส่วนสาเหตุที่ผมยังไม่ยอมเลิก ซึ่งผมมั่นใจว่าถ้าผมตั้งใจจะเลิก ผมเลิกได้สบายมาก แต่ผมก็ยังไม่ยอมเลิก และยังไม่คิดที่จะเลิก เพียงแต่ขอดื่มไปตามกฎกติกาของตัวเอง (และแหกกฎบ้างในบางครั้ง) ก็มีสาเหตุมาจากความรักเหมือนกัน ต่างกันแต่ว่าความรักนี้ ไม่ใช่ความรักตัวเอง แต่เป็นความรักมิตรสหาย เหมือนอย่างที่เช็คสเปียร์กล่าวเอาไว้ในเวนิสวานิสว่า


"ที่รักโลกก็เพราะรักสมัครมิตร" นั่นเอง


 


ด้วยเหตุนี้


ผมจึงยังต้องดื่มด้วยสมัครใจ


เพื่อความรักที่งดงามอีกนี้ต่อไป.


 


24 เมษายน 50


กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่