Skip to main content

แนวไร่ภาคตะวันออก (เฉียงเหนือ) เหตุการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง (1)

คอลัมน์/ชุมชน

สายลมหอบพาเม็ดทรายหนีหายไปด้วยกันต่อหน้าต่อตา บนแผ่นดินโล่งกว้างที่ถูกไถเตรียมเพาะปลูกใหม่อีกหน เมื่อไรหนอ เม็ดทรายน้อยๆ จะได้สงบนิ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาไม้อย่างสุขใจเสียที

นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เกือบยี่สิบปีแล้ว...


ฉันเดินทางกลับมาอีสานอีกครั้ง อย่างคนทำงานคลุกดิน กินข้าวบนพื้นทราย นอนพักภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ เรื่องราวที่พบเจอทำให้รู้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลง ตามรายทาง ผู้คนที่พบพาน ยังใช้คำถามเดิม
"มาอยู่คนเดียวเหรอ แล้วแฟนล่ะ ทำไมไม่มาด้วย"


เป็นคำถามจากหญิงวัยกลางคน คำถามเดียวแต่หวังคำตอบสองเรื่อง ฉันเพียงแค่ยิ้มๆ ทำเป็นไม่สนใจ ประเมินเพศ อายุและน้ำเสียงคนถามแล้วก็คิดว่าช่างเขาเถอะ ให้สงสัยต่อไปก็แล้วกัน แต่อีกคนกลับถามตรงๆ
"มีแฟนแล้วยัง ทำไมมาลุยป่าอยู่คนเดียว"


เจ้าของคำถามเป็นหนุ่มใหญ่ แววตาสอดรู้สอด ท่าทางที่แสดงออกมาเหมือนจะบอกว่าตนเองเป็นคนสำคัญที่นี่
"แล้วเขาจะตามมาค่ะ" ฉันสบตานิ่งตรง ขณะหลุดคำตอบออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก รู้สึกเหมือนกำลังยืนเปล่าเปลือยให้คนแปลกหน้าจ้องดู เรื่องราวทำนองนี้ฉันไม่เคยชินสักที ราวกับซุกซ่อนบาดแผลไว้ในที่ๆไม่ควรเปิดเผยและมันกำลังเน่าเฟะให้ต้องเยียวยาใหม่อีกหน เพียงคำถามสามัญของคนทั่วไปที่อยู่ในวิถีทางของความเป็นปกติทางโลก ฉันน่าจะคุ้นเคยได้แล้ว แต่ฉันกลับชะงักและคิดว่าจะต้องตอบอย่างไรให้พวกเขาพอใจ เพื่อฉันสามารถมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเขาได้อย่างปกติสุข


ครั้งกระโน้น...


สาวน้อยหน้าใสกับมอเตอร์ไซด์คู่ชีพ ตระเวนไปอาศัยกินอยู่กับชาวบ้าน คำถามแรกที่แม่ใหญ่ทั้งหลายถามคือ
"เอาผัวแล้วบ่" ฉันจะหัวเราะ แล้วบอกว่า ยังไม่คิดจะมีค่ะ ยังอยากทำงานแบบนี้อยู่ เหมือนคำตอบดาราเชียวแหละ แต่ก็นั่นแหละ ความห่วงใยที่มี ยังไม่วายแบ่งปันไปถึงพ่อแม่ของฉัน เพราะแม่ใหญ่เหล่านั้นจะถามต่อว่า


"แล้วพ่อแม่ไม่ว่าอะไรเหรอ ลูกสาวมาอยู่อย่างนี้" คำถามนี้ฉันต้องนิ่งอึ้ง เพราะฉันไม่เคยบอกที่บ้านว่าฉันมาทำงานแบบไหน ต่อเมื่อวันที่แม่มาตามฉันกลับบ้าน ด้วยความเป็นห่วง แต่ฉันกลับน้อยใจขึงโกรธแม่ จนแม่เสียใจหลั่งน้ำตาให้กับความดื้อรั้นของฉัน มันจึงกลายเป็นภาพหลอนกัดกร่อนหัวใจฉันให้แหว่งวิ่นทุกคราไปที่นึกถึง


วันนี้ ชายเจ้าของคำถามอายุไม่ต่างจากฉันเท่าใดนัก เขาจ้องหน้าฉันด้วยดวงตาเล็กหรี่เหมือนงูจ้องเหยื่อ หาใช่แม่ใหญ่ใจดีที่ห่วงใยฉันเหมือนลูกหลานไม่
"คำตอบแบบนี้ ที่บอกว่ามีแล้ว มีความหมายหลายอย่าง"
แล้วเขาก็หัวเราะต่ออย่างน่าเกลียด ฉันจึงตัดบทด้วยการสตาร์ทเครื่องรถขับหนีเขาออกมา


หากไม่เป็นเพราะต้องใช้เส้นทางผ่านไร่ของเขาฉันคงไม่ต้องหยุดให้สัมภาษณ์ในขณะที่ยังไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ ส่วนเขาคงเล็งเห็นฉันตั้งแต่ขับรถมอเตอร์ไซด์ตุปัดตุเป๋มาตามทางฝุ่นทรายไกลๆมาแล้ว เมื่อเข้าเขตไร่เขาจึงรีบรี่มาดักอยู่ข้างทาง


การผูกมิตรกันเป็นสิ่งที่น่าจะกระทำ เพราะในบริเวณนี้นอกจากเขาคนนี้แล้วไม่มีใครอีกเลยที่มาสร้างบ้านอยู่ในที่ดินที่ห่างจากหมู่บ้านนับสามสี่กิโลเมตรอย่างนี้ หากฉันอาจหาญสร้างบ้านอยู่ที่นี่อีกสักหลัง เขาคนนี้คือคนที่ฉันต้องทำความรู้จักเป็นรายแรก แต่เมื่อเขาแสดงท่าทางอยากจะรู้จักฉันเสียยิ่งนัก และยิ่งอยากรู้ลึกไปถึงเรื่องส่วนตัว ทำให้ฉันต้องทบทวนใหม่ ว่าจะทนกับคนช่างแส่ได้แค่ไหน หรือหากฉันสามารถหาใครสักคนที่ท่าทางน่าเกรงขามมาอ้างอิงว่าเป็นสามี ให้เขาได้เห็น จะทำให้เขาอยู่อย่างมีความสุขเพิ่มขึ้นหรือเปล่าไม่รู้


ทำไมฉันจะไม่เข้าใจสัญชาตญาณการปกป้องดูแลที่มีอยู่อย่างท่วมท้นของผู้ชาย ที่ยอมทนเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมาเสี่ยงภัยไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ไม่ใช่ที่แรกที่ฉันลุยเดี่ยวเข้าไปอยู่ จนสร้างความวิตกกังวลให้กับผู้หญิงที่มีสามี หรือหลอกหลอนสัญชาตญาณลูกผู้ชายทั้งหลายมาแล้ว


การมาทำสวนทำไร่ในภาคอีสานครั้งนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือถากถางความสงสัยที่อยู่ในใจชาวบ้านให้หมดสิ้นไป แล้วหว่านพืชพันธุ์ใหม่ บ่มเพาะให้ออกดอกออกผลในเร็ววัน ให้เขายอมรับให้ได้ว่าความเป็นหญิงไม่ใช่สิ่งที่ต้องปกป้องให้อยู่ในที่เดิมๆแบบนั้น และไม่ได้อ่อนแอจนถูกทำร้ายได้ง่ายๆ หรือเปราะบางอ่อนไหวจนก่อพิษภัยให้กับใครๆได้


ปัญหาอุปสรรคที่มีจึงไม่ใช่ความเป็นหญิง แต่เป็นความรู้สึกไม่ชอบใจต่อคำถามแบบนั้น ซึ่งฉันจะปล่อยให้ลุกลามกลายเป็นโรคร้ายกัดกินหน่ออ่อนความฝันให้แห้งเฉาตายไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าแดดร้อน ฝนตก อากาศหนาว ความเปล่าเปลี่ยวเงียบเหงา ก็ไม่ได้ทำให้ฉันย่อท้อ


สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดคือ วันที่ฉันหมดความอดทนที่จะตอบคำถาม อยากรู้นักว่า หากคนเข้ามาใหม่เป็นผู้ชาย และมาอยู่ตามลำพัง เขาจะมีคำถาม มีปฎิกริยาอย่างนี้ด้วยหรือเปล่า