Skip to main content

แนวไร่ภาคตะวันออก (เฉียงเหนือ) เหตุการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง (2)

คอลัมน์/ชุมชน

เฝ้ารอฝนจนทนไม่ไหว เพราะอากาศร้อนเหลือทน ยิ่งอาศัยอยู่ในบ้านซีเมนต์ชั้นเดียวกลางลานโล่งไร้ร่มเงาด้วยแล้ว จึงต้องลุกขึ้นมาเก็บเสื้อผ้าหอบหิ้วของใช้จำเป็น เดินออกมาจากหมู่บ้าน มุ่งหน้าไปทางจังหวัดเลยด้วยรถเมล์ประจำทาง จากอำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น ไปถึงจุดหมายปลายทางใช้เวลาแค่สองชั่วโมง


วันนี้ นกเสรีกระพือปีกแทบไม่ขึ้น หัวใจที่ชอบโบยบินกลับเซื่องซึม อยากกลับบ้าน กลับไปหาแม่ที่ภาคใต้ แต่อีกใจก็ข่มขู่สำทับให้เลิกคร่ำครวญ


ใจที่สามจึงแอบขำ "ไหนว่ามีชีวิตเร่ร่อนมานานนักหนาแล้ว มาเสียท่าให้กับความผูกพันในบั้นปลายชีวิต"


น้ำเสียงของมันช่างเย้ยหยันกระหน่ำกรีดหัวใจให้เจ็บแสบ "ไหนว่าทุกๆ ที่คือบ้าน ฮ่า ฮ่า ฮ่า"


ใจแรกหงุดหงิด โต้แย้ง "ก็ถึงคราวใช้กรรมไง กรรมที่ทอดทิ้งแม่มาตลอด ตอนนี้มันเล่นงานทำให้กลายเป็นคนติดที่ติดบ้านติดแม่ แล้วไง ไม่เห็นผิดตรงไหน"


"ไม่ผิดได้ไง ผิดกับหนทางของตัวเอง" ใจที่สามว่า


"ห่วงแม่ผิดตรงไหนฮึ" ใจที่สองเถียง


"ผิดตรงที่ ยอมให้ความคิดถึงมันครอบงำได้ไง" ใจที่สามชี้แนะ


และแล้ว ความทรมานใจก็สลายหายไปในบัดดล



ภูผาขาวทอดยาวตามแนวเหนือใต้ หลายสิบกิโลเมตร คือที่มาของอำเภอผาขาว จังหวัดเลย


ประมาณปี พ.. 2530 หนุ่มสาวสี่ห้าคน ที่ดูแปลกเพี้ยนไปจากคนรุ่นเดียวกัน ทั้งเครื่องแต่งกายและการใช้ชีวิต พวกเขาดั้นด้นเดินลุยทุ่งนาป่าโคกจากถนนสายหลัก ขอนแก่น-เมืองเลย ตั้งต้นจากบ้านตาดข่ามาถึงบ้านโคกผักหวาน หมู่บ้านเล็กๆ ราว 20 หลังคาเรือน ในอ้อมกอดของภูผาขาวแห่งนี้


คืนนั้น ทั้งหมดอาศัยนอนที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน


"ไปอาบน้ำอาบท่าซะ เดี๋ยวจะมืด ที่บ่อบาดาลท้ายบ้านโน่นน่ะ แล้วจะได้มากินข้าวกัน" เมียผู้ใหญ่บ้านยัง กระฉับกระเฉงแม้จะอยู่ในวัยค่อนไปทางสูงวัย แต่แกก็ยังพร้อมที่จะดูแลพวกเรา เหมือนลูกหลาน


"ยังไม่ไปหรอกแม่ใหญ่ จะอยู่ช่วยทำกับข้าว" หญิงชราไม่ว่าอะไร แต่กลับเดินลงบันไดมุดเข้าไปใต้ถุนบ้าน บางคนเริ่มมองหางานทำ เก้ๆกังๆอยู่ในครัว จนแกเดินขึ้นมา มือฉวยคอแม่ไก่มาด้วยตัวหนึ่ง ทุกคนตกใจไม่คิดว่าจะมีการฆาตกรรมกันในค่ำคืนนี้ และยิ่งอึ้งมากขึ้นเมื่อแกกดตัวมันลงกับพื้นด้วยสองมือ พลางเอาส้นเท้าเหยียบที่คอจนมันสะบัดดิ้นพั่บๆ กระตุกถี่ๆ แล้วสงบนิ่งไปในที่สุด


มื้อนั้นอร่อยแค่ไหนฉันจำไม่ได้ แต่ยังจำลีลาการฆ่าไก่ และอาการกระตุกๆ แล้วแน่นิ่งของไก่ได้จนบัดนี้


แม่ใหญ่และพ่อผู้ใหญ่บ้านลาลับโลกไปนานหลายปีแล้ว ทุกครั้งที่เราพูดถึงผู้มีพระคุณสองคนนี้ เรามักจะพ่วงเอาไก่ตัวนั้นเข้ามาด้วยเสมอ


นั่นคือครั้งแรกที่มีความประทับใจในชาวบ้าน และเพราะหลงรักภูผาสวย เมื่อเราพบที่ดินราวๆ30 ไร่ มีลำน้ำห้วยล้อมรอบ แม้จะเตียนโล่งปราศจากต้นไม้ใหญ่ เพราะถูกไถปลูกข้าวโพดมานานหลายปี เราก็ยังตัดสินใจขอซื้อด้วยเงินที่ลงขันกันตามมีตามเกิดเกือบสองปี ควักจ่ายไปประมาณ 70,000 บาท



จากวันนั้นจนวันนี้ ที่ดินแห่งนี้มีพันธุ์ไม้ยืนต้นนานาชนิด กลายเป็นสวนป่ารกครื้ม เป็นที่รู้จักในนาม "สวนไทเกษตร" ตามคำเรียกของชาวบ้านตั้งแต่เราเริ่มเข้ามาอยู่ แรกๆ พวกเขาเฝ้าดูการปลูกต้นไม้ของเรา อย่างไม่เชื่อถือแต่เดี๋ยวนี้บางคนลงมือปลูกตาม แม้ไม่ใช่พื้นที่กว้างใหญ่ แค่ปลูกตามหัวไร่ปลายนาก็นับว่าเป็นความสำเร็จ



ปัจจุบัน ที่ดินแปลงนี้มีเพื่อนสองคน กลายมาเป็นคู่ชีวิตที่อยู่ดูแลประจำ ส่วนเพื่อนๆ อีก 6 คน ต่างมีหนทางของตัวเอง บางคนเพิ่งกลับมาทำสวนป่าอยู่ในที่ดินแปลงใหม่ ไม่ไกลจากที่เดิมนัก เจตนารมย์ของพวกเราก็คือ สร้างป่าให้กับโลก


ฉัน...หนึ่งในจำนวนนั้น ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มาอาศัยอยู่จริงๆ เมื่อครั้งยังเร่ร่อนอยู่ตามชายทะเล เพื่อนฝูงทั้งหลายส่งเสียงตามสายเรียกตัวให้แวะเวียนมาบ้าง ก็ยังยากที่จะมา แต่เมื่อมาแล้ว สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็นับว่าน่าชื่นใจไม่น้อยเลย


สองวันที่ในไร่ พบกับกลุ่มชาวบ้านประมาณเกือบร้อยคน ที่เข้ามาอบรมการ "ปลูกต้นไม้ใช้หนี้" พวกเขามาจากอำเภอใกล้ๆ สิ่งหนึ่งที่เพื่อนทำสำเร็จคือ การสร้างองค์กรชุมชนให้เป็นเครือข่ายอนุรักษ์ โดยเฉพาะที่บริเวณภูผาหน้าตาสวยแห่งนี้ที่เสี่ยงกับการถูกทำลายทั้งไฟป่าและน้ำมือมนุษย์


"เครือข่ายอนุรักษ์ภูผาขาว" ก่อร่างสร้างองค์กรมานับสิบปี จากคนที่เห็นว่าธรรมชาติถูกทำลายลงไปทุกวัน ซึ่งประกอบด้วยชาวบ้านในหมู่บ้านรอบๆ ภูเขานับสิบหมู่บ้าน กิจกรรมที่ทำมีความหลากหลาย ทั้งเพื่อปากท้องความอยู่รอดของตนเองและชุมชน วัตถุประสงค์หลักคือป้องกันและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติเอาไว้ แม้ภัยจะคุกคามเข้ามาจนถึงเรือนชานแล้วก็ตาม พิษภัยที่ว่านั้นคือภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว


จากเอกสารที่ลงทะเบียนบอกถึงประวัติของครอบครัว ในส่วนของความเป็นหนี้ แต่ละรายเป็นหนี้ ธกส. เฉลี่ยรายละ 100,000 บาท ยังไม่นับหนี้นอกระบบที่ยิบย่อยออกไปอีก แต่พิษสงของดอกเบี้ยไม่ได้ย่อยตามไปด้วย อ่านจากที่กรอกเอาไว้ ยังพบว่าการถือครองที่ดินเฉลี่ยไม่เกิน 20 ไร่ บางรายเหลือแค่ที่ตั้งบ้าน แต่ก็ยังอุตส่าห์มีหนี้


มิน่า เวลาที่ฉันเข้าไปทำงานในที่ดิน สวนทางกับชาวไร่ หรือพูดคุยกับคนรับจ้างทำงานในที่ดิน คำพูดที่เขาพูดมากที่สุดคือ


"จะซื้อที่ดินอีกบ่ ขายให้ถูกๆ พอใช้หนี้ธนาคาร เหลือใช้บ้างนิดหน่อยก็เอาแล้ว"