Skip to main content

สภาผัวเมียดีกว่าสภาโจร

คอลัมน์/ชุมชน

ผมไม่รู้ข้อเท็จจริงว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 ทำให้เกิดผัวเมียในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทั้งหมดกี่คู่ (ใครมีข้อมูลช่วยบอกหน่อย) แต่ได้ยินได้ฟังบ่อยครั้งว่าสภานิติบัญญัติสมัยรัฐบาลทักษิณเป็นสภาที่ (บางคน) เรียกกันว่า "สภาผัวเมีย" เป็นสภาผัวเมียที่เกิดมาจากการเลือกตั้ง ผู้ผัวลงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนเมียลงวุฒิสภาหรือในทางกลับกัน


คำว่าสภาผัวเมียนี่เอง ที่กลายเป็นเหตุผลข้ออ้างสำคัญประการหนึ่งในการยกร่างรัฐธรรมนูญเถื่อนปี 2550 ว่าด้วยเรื่องของที่มาของวุฒิสภา


ผู้ที่เห็นด้วยว่าสมาชิกวุฒิสภาควรจะมาการแต่งตั้ง/สรรหานั้น มักจะยกข้อเสียของการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (แต่ไม่สามารถยกข้อดีของการแต่งตั้ง/สรรหาที่ไม่ขัดกับหลักประชาธิปไตยได้สักข้อเดียว) ว่าจะช่วยป้องกันการเกิดสภาผัวเมียแบบที่เคยเกิดขึ้นในยุคของพ...ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งผัวกับเมียในสองสภาแทนที่จะคานอำนาจกันก็กลับฮั้วกันหรือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ซ้ำยังถูกรัฐบาลหรือพรรคการเมืองซื้อได้ง่าย ๆ เพราะทั้งผัวและเมียต่างเป็นคนของพรรคการเมืองแม้จะไม่สังกัดอย่างเป็นทางการก็ตาม


แต่ประเด็นก็คือ การแต่งตั้ง/สรรหาสมาชิกวุฒิสภาไม่อาจป้องกันการถูกซื้อตัวหรือการเกิดขึ้นของสภาผัวเมียได้เหมือนกัน!


มากไปกว่านั้นการแต่งตั้ง/สรรหา อาจถูกซื้อตัวได้ง่ายเสียยิ่งกว่าด้วยซ้ำเพราะไม่ต้องเปลืองตัวลงแรงหาเสียงกับประชาชนหรือสร้างผลงานให้ประชาชนประจักษ์ แค่เพียงแต่ควักเงินสักก้อน หาช่องทางใช้เงินให้ถูกว่าต้องจ่ายอย่างไร จ่ายกับใคร ก็สามารถเข้าไปนั่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ การแต่งตั้งจึงอาจทำให้เกิดสภาผัวเมียหรือสภาพี่น้อง สภาพรรคพวก สภาผู้ดี สภาศักดินา สภาเทวดา สภาทหารเก่า สภานักวิชาการ ฯลฯ แทนที่จะเป็นสภาของประชาชน


ไม่มีมาตรการรับรองอะไรเลยที่จะบอกได้ว่าการแต่งตั้ง หรือสรรหาจะไม่ถูกซื้อตัวจนกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาที่หวั่นเกรงกัน ไม่มีเกณฑ์อะไรจะบอกได้เลยว่าการแต่งตั้ง/สรรหาจะได้สมาชิกวุฒิสภาที่ดีกว่าการเลือกตั้งหรือดีกว่าสภาผัวเมีย


ผมใช้คำว่าสรรหากับคำว่าแต่งตั้งควบคู่ไปด้วยกัน เพราะผมเห็นว่าทั้งสองคำนี้ไม่มีความแตกต่างกันเลยไม่ว่าจะพูดให้ดูดียังไงก็ตาม คือมันมาจากรากฐานวิธีคิดอันเดียวกัน เป็นวิธีคิดที่ไม่เห็นหัวประชาชน ไม่เชื่อในวิจารณญาณการตัดสินใจของประชาชน คิดว่าประชาชนจะขายเสียงอย่างง่าย ๆ เพื่อแลกกับเงินไม่กี่ร้อย และมีแต่พวกอภิสิทธิ์ชนเท่านั้นที่จะรู้ว่าควรแต่งตั้งคัดเลือกใครเข้าไปในนั่งในวุฒิสภา


พวกกระฎุมพีกินแรงแบ่งชนชั้น มักจะยกเหตุผลร้อยแปดสรรหามาโจมตีข้อเสียของการเลือกตั้ง แต่ผมคิดว่าภาคประชาชน (ภาคประชาชนที่ว่านี่ไม่ใช่ภาคประชาชนที่รณรงค์ประชาธิปไตยจนได้รัฐประหาร) สามารถหาเหตุผลได้พันแปดเหมือนกันที่จะบอกว่าการแต่งตั้ง/สรรหาล้าหลังป่าเถื่อนยังไง


สำหรับคนที่ชอบโจมตีการซื้อขายเสียง ผมเคยเขียนอยู่หลายครั้งว่าการซื้อเสียงไม่ใช่ปัญหาสำคัญของการเลือกตั้ง ไม่ใช่ปัญหาหลักของประชาธิปไตย เพราะคำว่า ซื้อเสียงไม่ใช่การแลกเปลี่ยนสินค้าหรือการเดินซื้อของในตลาดสด แต่มันหมายรวมถึงความผูกพันภักดี ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ชาวบ้านมีต่อตัวแทนของเขาและที่ตัวแทนของเขามีต่อชาวบ้าน มันสลับซับซ้อนมากกว่าการให้เงินแลกกับคะแนนเสียงอย่างทื่อๆ ผู้สมัครบางคนให้เงินชาวบ้านแต่ก็ไม่ได้คะแนนเสียง บางคนได้คะแนนเสียงโดยไม่ต้องเสียเงินก็เยอะแยะไป แถวภาคใต้บางจังหวัดเอาเสาไฟฟ้าแล้วติดโปสเตอร์พรรคประชาธิปัตย์ลงสมัคร ประชาชนก็ยังเลือก


การโจมตีการซื้อขายเสียงที่พูดๆ กันก็มักพุ่งเป้าไปที่คนจน คนชนบท และเต็มไปด้วยการดูถูกว่าคนเหล่านี้โง่ เงินไม่กี่ร้อยก็ซื้อได้แล้ว ทั้งที่ความจริง คนรวยหรือคนในเมืองก็มีพฤติกรรมขายเสียง-ซื้อเสียงไม่น้อยไปกว่ากันเลย


สมัยที่ผมเรียนรัฐศาสตร์ อาจารย์มักจะยกตัวอย่างพฤติกรรมการซื้อขายเสียงของคนรวยและคนเมืองเรื่องฝากลูกเข้าโรงเรียน การฝากลูกเข้าโรงเรียนซึ่งแน่นอนต้องยัดเงินเข้าไปด้วยนั้นไม่ต่างอะไรกับการซื้อเสียง มันเป็นการแลกเปลี่ยนธรรมดาที่ตรงไปตรงมา และไร้เกียรติยิ่งกว่าการซื้อขายเสียงของคนชนบทเสียอีก


และผมไม่แน่ใจว่าการวิ่งเต้นในระบบขั้นตอนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการนั้น เข้าข่ายการซื้อขายเสียงด้วยหรือไม่แต่มันเป็นระบบอุปถัมน์แน่ ๆ เพราะฉะนั้นการออกแบบรัฐธรรมนูญโดยมุ่งไปที่การกำจัดการซื้อขายเสียงจึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องทำอย่างเร่งด่วนคือการกันทหารออกจากการเมืองต่างหาก


การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาก่อให้คำครหาเรื่องสภาผัวเมียซึ่งเป็นจริงแค่บางส่วน สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งหลายคนทำงานได้อย่างน่าชมเชยและสมเกียรติ แต่สภานิติบัญญัติปัจจุบันเป็นสภาเถื่อนที่มาจากการปล้นอำนาจจากประชาชน และหากรัฐธรรมนูญใหม่บังคับให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง/สรรหา ไม่แน่ใจว่าปรากฏการณ์สภาผัวเมียจะยังอยู่เหมือนเดิมหรือไม่


แต่ที่แน่ๆ มันคงเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "สภาโจร" เพราะคนที่ปล้นเขามาแล้วตั้งตัวเป็นใหญ่ ให้และใช้อำนาจแต่งตั้ง/สรรหาวุฒิสภา ถ้าไม่เรียกว่า "โจร" แล้วจะเรียกว่าอะไร.