Skip to main content

ไปเที่ยว บ้านดินรักดาว

คอลัมน์/ชุมชน

เรื่องของเรื่องคือ คุณภู เชียงดาว ชวนผมไปร่วมงานรดน้ำดำหัว "อ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น" ที่บ้านดิน ตอนเช้าวันที่ 5 ..ซึ่งคาดว่าน่าจะมีคนที่รักใคร่สนิทสนมไปกันอยู่หลายคน


แต่ปรากฎว่า เช้าวันที่ 5 เมื่อผมไปถึงบ้านคุณภูแถวแม่ริม ฝนยังคงตกไม่หยุด หนักบ้าง เบาบ้าง สลับกันไปตลอดวัน "ทางเข้าเละแน่...คงไปกันไม่ได้แล้วล่ะ" หัวหน้าศูนย์ข่าวประชาไทภาคเหนือบ่น จากนั้น ก็โทรประสานงานกับมิตรสหายอยู่หลายครั้ง จนได้ความว่า จัดงานที่บ้านดินไม่สะดวกแล้ว ย้ายไปที่ร้านสายหมอกและดอกไม้ ดีกว่า แล้วจะไปรับอ้ายแสงดาวมาที่งาน


"พี่นนท์" สุวิชานนท์ รัตนภิมล อาสาเอารถมารับผมกับคุณภู ไปรับอ้ายแสงดาวที่บ้านดิน


ตกบ่าย ฟ้ายังครึ้ม ฝนยังโปรย พี่นนท์ ก็ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านคุณภู พร้อมสมาชิกร่วมเดินทางอีก 2 ท่าน คือ "พี่เสี้ยว" เสี้ยวจันทร์ แรมไพร และ "คุณแมว" สาวอเมริกันหัวใจไทย



"เคยเห็นในขวัญเรือน ตอนที่พี่โดม (วุฒิชัย) เขียนถึง เลยอยากมาดู" พี่เสี้ยวว่างั้น คุณแมว เคยมาช่วยย่ำดินตอนสร้างบ้านเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน แล้วก็แทบไม่ได้มาอีกเลย ส่วนผมนั้น เคยเห็นแต่ในรูปถ่าย และคำกล่าวว่า เป็นบ้านกลางทุ่งนา ริมเหมือง (ลำคลอง) บรรยากาศดีมากๆ มีโอกาสก็ว่าจะไปเยี่ยมสักที


พี่นนท์ขับรถไปตามทางสู่แม่โจ้ เลี้ยวเข้าทางไปวัดทุ่งเกวียน หยุดแวะถามทางชาวบ้านแถวตลาด แล้วก็วิ่งตามทางคอนกรีตไปจอดหน้าหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง



เป็นหมู่บ้านจัดสรรที่อยู่คนละฟากถนนกับทุ่งนาเขียวขจี เมฆขาว เมฆดำลอยเต็มท้องฟ้า ภูเขาถูกคลุมด้วยเมฆฉ่ำน้ำหนักอึ้ง ไกลๆ นู่นเห็นสายฝนโปรยเป็นทาง ในเวียงเชียงใหม่ คงตกหนัก


ทางเข้าบ้านอ้ายแสงดาว ต้องเดินลัดเลาะไปตามคันนา เกือบๆ กิโลเมตร


"ม้าคู่ชีพ" (ดรีมขาวรุ่นคุรุสภา) ของอ้ายแสงดาว จอดอยู่ใต้ต้นไม้ก่อนถึงทางเข้าบ้าน


บ้านดินหลังน้อยซ่อนตัวอยู่หลังทุ่งข้าว ด้านหลังเป็นทิวไม้เขียวครึ้ม



อ้ายแสงดาว เจ้าของบ้าน นั่งยิ้มรอพวกเราอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว


เมื่อทักทายกันเรียบร้อย คำถามแรกของผมคือ


"เวลาอ้ายเมา อ้ายกลับมาได้ยังไงครับ?"


"โอ้ย ! เวลาเมาอ้ายมีสติหนา" อ้ายว่า พลางหัวเราะชอบใจ


บ้านดินหลังน้อย มีสองห้อง เป็นห้องกลางหนึ่ง ห้องนอนหนึ่ง ด้านหลังบ้านดิน เป็นอาคารไม้โปร่ง มีห้องน้ำ ห้องครัว ด้านหน้าเป็นบ่อเลี้ยงปลา ที่เจ้าของบ้านบอกว่า "อ้ายไม่จับปลานะ แต่อ้ายกิน" รอบๆ บ้านปลูกพืชผักหลายชนิด ด้านหลังยังมีต้นไม้ร่มครึ้ม ได้ยินเสียงน้ำหลากจากลำเหมือง บ้านดินไม่มีไฟฟ้า ค่ำมาก็นอนฟังเสียงน้ำ เสียงลม เสียงนกกลางคืน เสียงแมลงร้อง


ผมคิดว่า หากใครเขียนหนังสือไม่ออก หรืออยากได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ลองมานั่งเล่นนอนเล่นที่บ้านดินของอ้ายแสงดาวสักพัก บรรยากาศอาจทำให้เกิดแรงบันดาลใจไหลพรั่งพรูก็เป็นได้ !


ขณะภายนอกเม็ดฝนโปรยมารอบที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้


พี่นนท์หยิบกีตาร์มาร้องเพลง อ้ายแสงดาวว่าบทกวีหนึ่งบท พี่เสี้ยวก็ improvise สดๆ ตามอีกหนึ่งบท แล้วก็เคาะสนิมเล่น กีตาร์อีกหนึ่งเพลง


อากาศเย็น สายฝน เสียงเพลง บทกวี เสียงหัวเราะ ช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ มักจะอยู่ในความทรงจำยาวนานเสมอ


เมื่อสายฝนสงบลงไปอีกครั้ง เราก็ออกเดินทางไปที่ร้านสายหมอกและดอกไม้ ระหว่างทางที่เดินลัดเลาะออกจากบ้านดินไปตามคันนา จนกระทั่งนั่งรถไปตามถนน ดูเหมือนว่า "อารมณ์กวี" จะมาเยือนพี่เสี้ยว ถ้อยคำหลั่งไหลออกมาจนต้องรีบหาปากกากระดาษ จดไว้กันลืม ไม่แน่ใจว่า บรรยากาศเป็นใจ หรือ ปริมาณเบียร์ได้ที่ (ฮา)



มิตรสหายมากมายรออยู่ในร้านแล้ว ผมนั่งอยู่ได้ครู่หนึ่งก็ต้องขอตัว เนื่องจากบ้านไกลและเกรงว่าฝนจะตกหนักกว่านี้


ไม่มีโอกาสได้รดน้ำดำหัวอ้ายแสงดาวอย่างเป็นทางการนะครับ เพียงแต่คิดถึงครั้งหนึ่งที่อ้ายอาจลืมไปแล้ว แต่ผมยังจำได้เสมอ


หลายปีมาแล้ว ผมมาเชียงใหม่เพราะต้องไปสัมภาษณ์ อาปุ๊ ‘ รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่สวนทูนอิน ตอนนั้นผมไม่รู้จักใครในเชียงใหม่ ไม่รู้จะเดินทางไปอย่างไร


ผมโทรศัพท์หาอ้ายตามคำแนะนำของ บก. ด้วยความไม่มั่นใจ เพราะไม่เคยรู้จักกันเลย ขณะที่ฝนตกพรำๆ แต่อ้ายก็อุตส่าห์ขับรถมอเตอร์ไซค์มารับผม แล้วพาผมขึ้นดอยโป่งแยง แถมขากลับยังพาไปเที่ยวน้ำตกอีกต่างหาก


ถ้าไม่ได้อ้าย ผมยังไม่รู้ว่าผมจะทำงานคราวนั้นเสร็จหรือเปล่า อ้ายแสงดาวทำให้ผมรู้ว่า "น้ำใจ ดุจ น้ำปิง" นั้นเป็นเช่นไร


ขอให้อ้ายแสงดาว มีสุขภาพแข็งแรง อารมณ์แจ่มใส ไม่ง่อม ไม่เหงา ดื่มน้อยๆ เมานานๆ เช่นเดิมนะครับ


ขอคารวะแด่อ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น


กวี "หนุ่ม" ตลอดกาล