Skip to main content

ของจริงเจ๋ง ๆ ในโรงครัวและพื้นที่สีแดง

นี่คือเรื่องเล่าเล็ก ๆ เรื่องหนึ่ง

ที่ผมได้อ่านจากหนังสือเล็ก ๆ เล่มหนึ่ง แล้วรู้สึกประทับใจมาก เพราะอ่านแล้วได้ข้อคิดเตือนใจที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกับคนที่ชอบคิดโน่นคิดนี่ แล้วสรุปเอาเองว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามความคิดเห็นของตัวเอง และเชื่อว่ามันจะต้องเป็นอย่างที่ตัวเองคิด ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยประสบกับความเป็นจริงในสิ่งที่ตัวเองคิด และเชื่ออย่างที่เรามักจะได้ยินคนเขาพูดกันว่า "ยังไม่เคยเจอของจริง" นั่นแหละ

เสียดายที่ผมค้นหาหนังสือเล่มนี้ เพื่อเก็บรายละเอียดมาเล่าต่อและให้เครดิตผู้เขียนไม่พบ จึงขอถ่ายทอดมาเล่าต่อให้กันฟังเท่าที่จำได้ โดยเฉพาะแก่นสำคัญของเรื่อง ส่วนรายละเอียดอาจจะผิดเพี้ยนและถูกปรุงแต่งไปบ้าง เพื่อให้เรื่องเล่าเล็ก ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าอ่าน


เล่ากันว่า


ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นมีการศึกษาค่อนข้างดี ได้เข้าไปปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเคร่งครัดและเอาจริงเอาจัง จนเห็นผลการฝึกปฏิบัติด้วยตัวเองในเวลาไม่นานนัก เธอจึงแน่ใจว่า เธอสามารถลดละกิเลส ความโลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นต้นตอของความทุกข์ได้อย่างหมดจดเกลี้ยงเกลา


วันหนึ่งเธอจึงบอกกับเพื่อนนักปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยสุงสิงอะไรกับใคร ซึ่งเข้ามาฝึกปฏิบัติที่สำนัก ก่อนหน้าที่เธอจะเข้ามาเป็นเวลาหลายเดือน แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าอยากจะออกไปจากสำนักนี้ว่า ถึงเวลาที่เธอจะต้องไปจากที่นี่แล้ว เพราะเธอแน่ใจว่า เธอได้ฝึกปฏิบัติลดละต้นตอแห่งความทุกข์ทั้งหลายแหล่ออกไปจากตัวเองจนหมดสิ้นแล้ว เพื่อนนักปฏิบัติธรรมคนนั้น มองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ และยิ้มเศร้า ๆ บอกกับเธอว่า
"ดีใจที่เธอไปได้เร็ว แต่เธอแน่ใจจริง ๆ หรือว่า เธอลดละอะไร ๆ ในตัวเองได้หมดแล้ว"
"แน่ใจ"


เธอยืนยันอย่างแข็งขัน เพื่อนนักปฏิบัติจึงบอกว่า
"เอาอย่างนี้ดีกว่า เพื่อความแน่ใจจริง ๆ ก่อนที่เธอจะออกไปจากสำนัก เธอลองถอดชุดขาวออกแล้วแต่งตัวเป็นคนธรรมดา ไปขอช่วยทำงานเป็นลูกมือแม่ครัวในสำนักนี้สักสามวัน ถ้าเธอสามารถทำ
งานกับแม่ครัวคนนี้ได้ครบสามวัน นั่นแสดงว่าเธอลดละกิเลสของเธอได้จริง ๆ แล้วค่อยไปจะดีกว่า"


เพื่อความมั่นใจในความแน่ใจของตัวเอง เธอจึงผลัดเปลี่ยนชุดฝึกหัดปฏิบัติธรรมของเธอ ใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างเก่าและซอมซ่อ ไปขอช่วยเป็นลูกมือแม่ครัวของสำนัก ซึ่งเป็นหญิงชาวบ้านวัยกลางคน รูปร่างอ้วนเตี้ย หน้าตาดุ เสียงดัง พูดจาตรงไปตรงมา ตามลักษณะของคนที่เรามักจะเรียกกันว่า ปากกับใจตรงกัน ที่ทางเจ้าสำนักจ้างมาทำอาหารเลี้ยงผู้ที่เข้ามาฝึกปฏิบัติธรรมที่โรงครัว ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในหมู่ไม้หลังสำนัก


เธอเข้าไปช่วยเป็นลูกมือหยิบโน่นหยิบนี่ให้แม่ครัวได้ไม่ถึงครึ่งวัน ก็ต้องรีบกระโจนออกมา เพราะถูกแม่ครัวที่ยืนอยู่หน้ากระทะที่ร้อนจนเหงื่อท่วมตัว จิกหัวด่าด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า
"อีโง่! เอ๊ยบอกให้หยิบตะหลิวเสือกไปหยิบจวักตักแกงมา เอ็งเกิดเป็นผู้หญิงได้ยังไงว่ะ ไม่รู้อันไหนเป็นตะหลิวอันไหนเป็นจวัก โง่จริง ๆ อีห่านี่"



เรื่องนี้


มีท่านผู้รู้ทางโลกและทางธรรมท่านหนึ่ง ได้ขยายความในเชิงเปรียบเทียบและสรุปให้ผมฟังว่า คนที่เข้าไปฝึกหัดปฏิบัติธรรมตามสำนักต่าง ๆนั้น ก็เหมือนกับคนที่เป็นทหารตำรวจเข้าไปฝึกอบรมและปฏิบัติการใช้อาวุธ และฝึกซ้อมการต่อสู้กับข้าศึกหรือผู้ร้าย ด้วยกระสุนปลอม สนามรบปลอม รวมทั้งข้าศึกและผู้ร้ายที่สมมุติกันขึ้นมานั่นแหละ


ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ที่ได้เรียนรู้ทฤษฎีและการหัดปฏิบัติที่ถูกต้องจากผู้รู้และปฏิบัติได้ แต่เราจะเอาการเรียนรู้และการฝึกหัดปฏิบัติตรงนี้ มาวัดความเก่งกล้าสามารถของตัวเองยังไม่ได้ ตราบใดที่เรายังไม่ได้ถือปืนบรรจุกระสุนจริง ออกไปสนามรบจริง และเผชิญหน้ากับข้าศึกตัวจริงที่ใช้กระสุนปืนจริงเหมือนกัน พูดง่าย ๆ ว่าต้องออกไปสนามรบจริง ๆ นั่นแหละ จึงจะรู้จริงและแน่ใจได้ว่าตัวเองมีความเก่งกล้าสามารถจริง ๆ แค่ไหน


ครับ ผมเห็นด้วยกับท่านผู้รู้ท่านนี้ เพราะนี่เพียงแค่เจอของจริงจากโรงครัวหลังสำนัก ยังไม่ทันได้ออกไปไหน ก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว จะรีบด่วนสำคัญผิดคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมไปทำไมเล่า ตราบใดที่ยังไม่ได้เจอของจริงเจ๋ง ๆ แบบนี้


และข้อเปรียบเทียบของท่าน


ก็ตรงกับความจริงที่น้องชายของผม ซึ่งเป็นนายดาบตำรวจภูธรที่โยกย้ายมาจากการเป็นตำรวจตระเวนชายแดนมาหลายปีแล้ว ได้ประสบกับตัวเองสมัยที่เขายังเป็นตำรวจตระเวนชายแดนในปีพ.. ที่การทำสงครามระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และชนกลุ่มน้อยตามเขตชายแดน ยังคุกรุ่นอยู่ ในช่วงที่เขาถูกสั่งย้ายจากชายแดนจังหวัดเชียงรายมาอยู่ที่ชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน


มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาได้รับคำสั่งจากผบ.หมวดให้พาพลตำรวจใหม่ 3 นายที่เพิ่งเรียนจบออกมาจากโรงเรียนพลตำรวจ ให้ออกไปลาดตระเวนและตั้งฐานที่มั่นอยู่ในพื้นที่สีแดงติดกับเขตชายแดนพม่า คืนหนึ่ง พวกเขาถูกชนกลุ่มน้อยติดอาวุธ ลอบซุ่มโจมตีด้วยการขว้างระเบิดเข้ามาในฐานที่มั่น ทันทีที่ลูกระเบิดตกลงกับพื้นและระเบิดดังตูม เขาซึ่งผ่านการรบจากชายแดนเชียงรายมาอย่างโชกโชน รีบทรุดตัวหมอบลงกับพื้น ในขณะที่เด็กหนุ่มพลตำรวจใหม่ทั้ง 3 นาย ที่เพิ่งออกพื้นที่สงครามจริง ๆ เป็นครั้งแรก ต่างพากันพรวดพราดลุกขึ้น ตกเป็นเหยื่อของกระสุนที่ระดมยิงติดตามมาเป็นห่าฝน


เขาอธิบายให้ผมฟังว่า เป็นเพราะพลตำรวจใหม่ทั้ง 3 นาย ตกใจกลัวจนขาดสติ เพราะเพิ่งมาเจอเหตุการณ์จริง ๆ ในสนามรบที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันเป็นแรก จึงลืมบทเรียนการรบที่เคยร่ำเรียนฝึกฝนมาว่า ถ้าข้าศึกขว้างระเบิดเข้ามา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ให้รีบทรุดตัวหมอบราบลงกับพื้นเอาไว้ เพราะทันทีที่ระเบิดแตก จะต้องมีการระดมยิงติดตามเข้ามา และมักจะได้ผลที่แน่นอนเสมอ ไม่ว่าเราเป็นฝ่ายโจมตีหรือถูกโจมตี ตามหลักจิตวิทยาพื้น ๆ เมื่อคนเราตกใจมักจะกระโดดลุกขึ้นหรือกระโดดหนี


เพราะความสะเทือนใจอย่างรุนแรง ที่พาเด็กหนุ่มอายุ 17-18 ไปเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาถึงสามคน ทำให้เขากลายเป็นคนซึมเศร้าและเหม่อลอย ต้องเข้าไปบำบัดรักษาจิตประสาทที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานเกือบสองปี ก่อนจะขอย้ายลงมาภูธร ตราบจนเท่าทุกวันนี้


นี่คือเรื่องของประสบการณ์
ระหว่างคนกับความจริงที่ยังไม่จริงแท้
กับความจริงที่เป็นความจริงแท้
มันแตกต่างกันอย่างนี้นี่เอง
คนเรามันต้องเจอของจริงเจ๋ง ๆอย่างนี้แหละ
จึงจะรู้ว่าตัวเองเก่งจริงแท้สักแค่ไหน.


26 เมษายน 2550
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่