Skip to main content

ห้วงเวลาที่หายไปของชีวิต

คอลัมน์/ชุมชน

เมื่อนั่งลงตรงหน้าหมอ หมอยกแผ่นฟิล์มอัลตร้าซาวด์ของฉันขึ้น ส่องกับแสงไฟ มองหน้าแล้วพูดว่า เป็นเนื้องอกในมดลูกนะ ต้องผ่าตัด

ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือคะ ฉันถามหมอด้วยเสียงแหบแห้ง หูได้ยินเสียงหมอตอบว่า ก็มีแต่ไม่อยากเสี่ยง อาทิตย์ที่แล้ว ประจำเดือนมามากจนเป็นลมแล้วต้องขูดมดลูกไม่ใช่หรือ ไม่อยากผ่าตัดหรือไง

ฉันพยักหน้าตอบหมอว่า ก็ผ่าตัดมาแล้วสามครั้ง ขูดมดลูกอีกหนึ่งก็น่าจะพอได้แล้วมั้ง สำหรับคนหนึ่งคน หมอยิ้มคราวนี้ตัดมดลูกทิ้งแล้ว คงเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับมดลูก หมอเก็บฟิล์มเข้าในซองสีน้ำตาลแล้วบอกว่าเอาเป็นพรุ่งนี้มานอน แล้วมะรืนนี้ผ่าตัดเลยนะ ฉันพยักหน้ารับอย่างคนที่ยอมจำนน ถึงคราวของฉันอีกแล้ว


เดินตัวเบาหวิวมานั่งเหงื่อตกอยู่ในรถ ผ่าตัดอีกแล้วหรือเรา กลัวตายหรือเปล่า ฉันถามตัวเอง หลังสำรวจใจอยู่นานก็ไม่พบความกลัว มีแต่ความรู้สึกท้อแท้และปลงสังขาร เออหนอต้องเจ็บอีกกี่ครั้งถึงจะซาบซึ้ง และมีความหมายว่าเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ฝากใครมาเจ็บแทนก็ไม่ได้ มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่เป็นผู้เผชิญ เช็ดเหงื่อแล้วบอกตัวเองว่า เอาล่ะ ถึงเวลาทำข้อสอบอีกหนึ่งข้อ มาดูกันว่าจะเป็นอย่างไร


อาบน้ำสระผมตั้งแต่เช้ามืด แต่งตัวเพื่อไปผ่าตัด ตอนเลือกเสื้อผ้า คิดว่าสีแดงน่าจะเป็นมงคล ใครไม่รู้บอกไว้ให้ใส่ชุดชั้นในสวยๆ เผื่อเวลาต้องไปจริงๆ จะได้ไม่มีใครว่าหรือค่อนขอดลับหลัง ฉันยิ้มแล้วเลือกตัวที่ใหม่ที่สุดมาใส่


เดินเข้ามาในตึกขาว มีน้ำเสียงทักทาย วันนี้มาเป็นคนไข้เองเลยนะ เล่นบทให้แนบเนียนหน่อย ฉันยิ้มรับแล้วเดินเข้าห้องคนไข้ที่ฉันคุ้นเคย น่าแปลกกลิ่นในห้องและเตียงนอนของคนไข้มันแตกต่างออกไปจากทุกวัน วันนี้ของฉันคือ นอนบนเตียงเหล็กเก่าๆ นี้ ฉันเอามือแตะขอบเตียงที่เย็นเยียบ พร้อมล้มตัวลง

งดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืนนะ อย่าลืม กินยานอนหลับ แล้วนอนเสีย เสียงพี่ที่อยู่เวร บอกฉันเบาๆตอนสองทุ่ม ฉันนอนฟังเสียงเข็มนาฬิกาเดินข้างฝา หลังสวดมนต์ แล้วผลอยหลับในไม่กี่วินาทีนั้น


ฉันหลับรวดเดียวถึงเช้า ตื่นมา พบบรรยากาศเหมือนตลาดนัดดังแว่วมา เสียงลากรถโครมครามดังมาถึงหน้าห้อง เสียงคนคุยกันโหวกเหวก น้องสีเหลืองเข็นหม้อสวนมาให้หน้าห้องบอกว่า พี่จะสวนเองใช่ไหม ฉันยิ้มบอกว่าขอบคุณ ใช่แล้ว เอาหม้อนอนสวนเหมือนทำดีทอกซ์แล้วโกนขน อาบน้ำให้สะอาดเอี่ยม เปลี่ยนชุดคนไข้ใหม่แล้วสวนล้างช่องคลอด เสร็จแล้วกดออดเรียกพี่มาแทงน้ำเกลือ ฉันนอนมองเข็มเบอร์สิบแปดที่พี่พยาบาลหยิบขึ้นมาส่องกับแสงไฟ


หลังมัดสายยางที่ข้อมือข้างซ้าย พี่มองหน้าฉันแล้วบอกว่าเจ็บหน่อยนะ ฉันพยักหน้ารับ รู้สึกถึงเหล็กแหลมที่แทงเข้าไปในเส้นเลือด ที่ข้อมือเจ็บแปลบเข้าไปตามแนวที่ผ่าน มาถึงแล้ว บทเพลงของความเจ็บปวด บทแรกเริ่มบรรเลง หลังปล่อยน้ำเกลือให้ไหลช้าๆ ผ่านเส้นเลือดแล้ว พี่พยาบาลมองหน้าแล้วจับมือไว้ ดีนะที่ไปใส่สายสวนปัสสาวะในห้องผ่าตัด ตอนที่ดมยาสลบแล้ว จะได้ไม่รู้สึกเจ็บ ฉันยิ้มเช่นเคย


เปลสีเขียวของห้องผ่าตัดมาถึงแล้ว ฉันขยับตัวเปลี่ยนมานอนบนเปล น้องคนเข็นมองหน้าคนไข้แล้วร้องอุทาน อ้าว พี่เอง เป็นอะไรไปหรือครับ ฉันตอบน้องเบาๆ เป็นอะไรนิดหน่อย น้องเอาผ้าสีเขียวห่มลงบนตัวฉันแล้วลงมือเข็นรถอย่างเงียบๆ ผ่านเคาน์เตอร์สีขาวเสียงใครหลายคนแว่วมา โชคดีนะแล้วเจอกัน ฉันพยักหน้ารับ


ถึงห้องผ่าตัด เมื่อเปลจอดเทียบกับท่าของห้องผ่าตัด ฉันถูกยกขึ้นทั้งเปลแล้วมานอนรออยู่ในห้องเตรียม พี่พยาบาลดมยาเข้ามาหา อ้าว น้องนั่นเองมาใช้บริการของพี่อีกแล้ว พี่จะดูแลเธออย่างดี ไม่ต้องกลัวนะ แล้วตัวของฉันก็ถูกเข็นเข้าไปในห้อง ถูกถอดเสื้อ หลังทาน้ำยาทั้งหน้าท้อง ตัวฉันเริ่มสั่น หนาวเหรอ พี่พยาบาลดมยาถาม

ฉันรู้สึกเย็นยะเยือก หูได้ยินว่า ห่มผ้าให้น้องเร็วๆ หนาวใหญ่แล้ว ผ้าชิ้นใหญ่หลายชิ้นถูกซ้อนทับลงมาบนตัว ปิดตาแล้วนะน้อง ความมืดเข้ามาแทนสีเขียวของผนังห้อง ฉันหลับตาลงหูได้ยินเสียงพี่พยาบาลบอกว่าเจ็บที่เส้นเลือดหน่อยนะ พี่ฉีดยาให้ หลับเลยนะน้อง คำสุดท้ายที่ฉันแว่วได้ยินมาแสนไกล ฉันสวดมนต์และทุกอย่างก็ดับวับลงอย่างแท้จริง


เหมือนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ ตัวเบาเหมือนไร้น้ำหนัก รู้สึกสบายเสียจนไม่อยากทำอะไรเลย ขอให้เป็นอย่างนี้ไปตลอด


แต่ทำไมถึงไม่ใช่ บางอย่างบอกมาว่ามีอะไรอยู่ในตัวเรา อะไรหนอทำให้เราลืมตามา อ้าว อ้วกหรือพี่ บางอย่างอุ่นไหลออกทางปาก มีใครเอามือมาจับมือเราไว้ หนาวแน่เลยมือเย็นเฉียบ ขยับตัวแล้วปวดแถวๆ หน้าท้อง ปวดมากเหมือนจะขาดใจ โอย เสียงหลุดออกมาแล้ว ลืมตาขึ้นมา ระหว่างทางที่เปลเข็นกลับห้อง ผ่าตัดเสร็จแล้วหรือ ทำไมถึงปวดอย่างนี้หนอ เมื่อกี้ยังหลับสบายอยู่เลย


ถึงห้องแล้ว ใครต่อใครโผล่หน้ามาให้เห็น เจ็บแผลมากแน่เลย ฉีดยาแก้ปวดให้นะ ฉันได้ยินเสียงพูดบอก ไม่อยากลืมตาเลย หลับลงไปอีกครั้งท่ามกลางความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นึกถึงห้วงความสุขเหมือนตัวเบาลอยได้ในห้องผ่าตัด แวบหนึ่งนึกถึงความตาย ถ้าวินาทีนั้นเราไม่ได้ลืมตามาอีกแล้ว ก็ยังนับว่าดีเพราะมีแต่ความสุขล้น สบาย เบา และสงบ


แต่เรายังฝืนความเจ็บปวด ลุกขึ้นเดินในเช้ามืดวันรุ่งขึ้น เมื่อขยับตัวแรก ร่างกายเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ น้ำตาหยดออกมาที่ปลายตา ถึงกระนั้น ก็ยังขยับขาเดิน ยืดตัวขึ้นรับแสงอาทิตย์


เดินบอกว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ความเจ็บปวดที่แผล ค่อยๆ ลดลงตามก้าวเดิน เดินเพื่อลดภาวะแทรกซ้อน เป็นคำที่บอกคนไข้หลังผ่าตัดทุกคน เดินบอกสัญญาณการมีชีวิตอยู่ ไม่ยอมแพ้กับอะไรทั้งสิ้นแม้ความเจ็บปวด


ดีแล้วปวดแผล จะช่วยลดอาการปวดใจและทุกข์ในชีวิตไปเสียบ้าง คนไข้บางคนบอกฉัน เหมือนเริ่มต้นใหม่ หัดเดินและเรียนรู้จากสิ่งที่เราเผชิญ


อีกไม่นานเราจะกลับมาทำงานเหมือนเดิม ไม่เหลือร่องรอยความเจ็บปวดใดๆ ในร่างกายไว้ มีเพียงความเข้าใจที่แนบแน่นเพราะพ้นผ่านมาด้วยตนเอง ถ้อยคำที่ปลอบโยนดูแลคนไข้มาจากหัวใจที่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะเข้าไปผ่าน เราจึงค้นพบ คำที่ผุดพรายขึ้นมา หลังจากฉันกลับมาทำงานหนักดังเดิม