Skip to main content

กรอบทางเพศ : กรงขังที่เข้มแข็ง?

คอลัมน์/ชุมชน

วันนี้เอาบทความแปลมาฝากค่ะ ผู้เขียนบทความนี้เป็นเพื่อนชาวเยอรมันของฉันที่ทำงานรณรงค์ด้านทรานสเจนเดอร์ (ขอเรียกย่อๆ ว่า ทีจี) เธอชื่อ ลีโอ เบลลินา ลีโอเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ที่จุดประกายให้ฉันสนใจกับทั้งประเด็นทีจีและอินเตอร์เซ็กซ์ รวมทั้งแนะนำหนังสือดีๆ ให้อ่าน ตัวลีโอเองไม่ใช่ทีจี แต่แฟนของเธอเป็น ลีโอเลยได้รับรู้อย่างใกล้ชิดว่าการเป็นทีจีนั้นต้องเผชิญกับอุปสรรคอะไรในชีวิตบ้าง และในอีกแง่ เธอก็ได้เห็นว่าความแตกต่างหลากหลายทางเพศนั้น ให้อะไรกับเราบ้าง ถ้าเราจะมองมันอย่างไม่มีอคติ

จริง ๆ บทความนี้แปลไว้นานมากจนลืมไปแล้วล่ะค่ะ แต่พอเอากลับมาอ่านอีกทีก็เห็นว่ายังเป็นประโยชน์อยู่ และคิดว่าจะได้ให้มุมมองจากนักรณรงค์ฝั่งเยอรมันด้วย


------------------------------------------------


ระบบสังคมที่เป็นอยู่นั้นสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ


กรอบทางเพศที่สังคมกำหนดขึ้นก็เช่นกัน มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจำกัดชีวิตของคนให้เป็นไปตามที่สังคมต้องการ


แต่มันถูกทำให้ดูเหมือนว่าเป็นธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ก็ช่วยบอกว่ากรอบนี้เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติเช่นกัน เราถูกทำให้เชื่อว่านี่คือความจริงหนึ่งเดียวเท่านั้น


ฉันคิดว่ากรอบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ผู้ชายมีอำนาจเหนือผู้หญิง และสามารถรักษาอำนาจนั้นเอาไว้ เวลาที่ฉันสอน ฉันจะช่วยให้ผู้คนเห็นว่า เราถูกจำกัดอยู่ในกรอบนี้อย่างไรบ้าง


เริ่มตั้งแต่ร่างกายของเรา เวลาที่เด็กเกิดมานั้นเราจะดูที่อวัยวะเพศก่อนอื่น เพื่อบอกว่าเด็กคนนี้เป็นเพศหญิงหรือชาย ถ้าอวัยวะเพศไม่ชัดเจนก้ำกึ่งระหว่างเพศหญิงและชาย หมอจะทำการผ่าตัด เพื่อตัดอวัยวะเพศใดเพศหนึ่งทิ้งไป เรียกได้ว่าทั้งวงการแพทย์และสังคม เป็นผู้สร้างให้คนๆ หนึ่ง เป็นเพศหญิงหรือเพศชาย


แต่จริงๆแล้ว เพศมีหลากหลายมากกว่านั้น ไม่ใช่เฉพาะแค่เพศหญิงหรือชาย เราถูกจัดใส่กรอบตั้งแต่เกิด นี่เป็นการกดขี่ร่างกายมนุษย์ ทำให้เราไม่สามารถเติบโตอย่างที่เราเป็นได้


เราถูกจำกัดจนเป็นเหมือนบอนไซ ถ้าเราเป็นผู้หญิงเราก็ต้องสวย ถ้าเราเกิดมีกล้ามใหญ่ ร่างกายใหญ่ เราจะเป็นทุกข์ เพราะคนจะบอกว่าเราไม่เป็นผู้หญิงพอ ผู้ชายก็เช่นกัน


นอกจากถูกจำกัดทางร่างกายแล้ว กรอบทางเพศยังจำกัดเพศภาวะของเรา เราต้องปฎิบัติตัวให้เป็นไปตามเพศสรีระของเรา เช่น ถ้าเป็นผู้หญิง เราก็จะต้องดูแลเอาใจใส่ พูดเสียงเพราะๆ ทำตัวเป็นรองผู้ชาย


นี่เป็นการจำกัดอำนาจ บทบาท ทางเลือก และอาชีพการงานของเรา เราไม่สามารถเลือกหรือแสวงหา สิ่งที่เราต้องการเป็นจริง ๆได้ แล้วมันยังจำกัดความสัมพันธ์ของมนุษย์ด้วยกัน


คนที่เป็นทรานสเจนเดอร์นั้น ไม่เป็นไปตามกรอบเหล่านี้ พวกเขามักถูกสังคมลงโทษ กระทำรุนแรง หรือแม้แต่ถูกฆาตกรรม เช่นในเยอรมัน มีคนๆ หนึ่งชื่อเลสลี่ ไอน์เบิร์ก เธอเป็นนักรณรงค์ เคลื่อนไหวในเรื่องทรานสเจนเดอร์ เธอเป็นผู้หญิงที่มีร่างกายเหมือนผู้ชาย ครั้งหนึ่งเธอป่วยเข้าโรงพยาบาล แต่โรงพยาบาลไม่ยอมรักษาเธอ จนเธอเกือบตายในโรงพยาบาล


หรืออีกตัวอย่างก็เป็นสมัยที่ชนผิวขาวรุกรานชนเผ่าพื้นเมืองในอเมริกา(อินเดียแดง)นั้น พวกเขาพยายามฆ่าหรือล่าคนที่เป็นทรานสเจนเดอร์ในสังคมเผ่าพื้นเมือง ให้สาบสูญไปจากวัฒนธรรม


ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมานี้ ทรานสเจนเดอร์เริ่มเปิดเผยตัวมากขึ้น ฉันเคารพพวกเขามาก และพวกเขามีบุญคุณต่อเราอย่างยิ่ง ทำให้เราตั้งคำถามกับร่างกายและเพศภาวะของเรา ว่าเราทำอะไรกับร่างกายเราบ้าง


ถึงแม้ร่างกายเราจะเป็นไปตามกรอบของสังคม เราก็ต้องกลับมาตั้งคำถามต่อระบบสังคมและระบบอำนาจ ทั้งหลาย


เวลาที่มีคนๆ หนึ่งไม่อยู่ในกรอบของสังคม คนทั่วไปจะรู้สึกอึดอัดหรือกลัว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าคนที่ไม่อยู่ในกรอบนี้สั่นคลอนระบบความเชื่อที่สังคมยึดถือ สุดท้ายแล้วสังคมก็จะตีตราว่าคนๆ นี้ผิดปกติ


แค่เพียงเรามีร่างกายที่ตรงตามกรอบของสังคม เราก็มีอภิสิทธิ์อยู่ในมือแล้ว คนที่มีอภิสิทธิ์มักไม่รู้ ไม่ตื่น ไม่ตั้งคำถาม และเชื่อว่ากรอบนี้เป็นความจริง แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบนั้นไปเรื่อยๆ


สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ทำความเข้าใจกับตัวเองและสังคม โดยไม่ไปชี้ว่าใครผิดปกติ


กรอบทางเพศนี้เป็นเครื่องมือของระบบชายเป็นใหญ่ เราต้องไม่สนับสนุนระบบเช่นนี้ มันไม่เอื้อประโยชน์ให้ใคร นอกจากจะก่อให้เกิดการใช้อำนาจกดขี่มากขึ้นเท่านั้น


ถ้าเราทำลายกรอบนี้ลง เราจะรู้ว่าร่างกายของเรานั้นเป็นอะไรมากกว่าเพียงแค่ระบบสืบพันธุ์ ร่างกายของเราจะไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบทางเพศ โลกนี้จะระเบิดออก


เราจะรู้ว่าบางร่างกายชอบงานไม้ บ้างก็ชอบทะเลทราย ชอบภูเขา บ้างก็สามารถเดินได้ บ้างก็เดินไม่ได้ เราจะค้นพบพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่มีสีสันหลากหลาย


เราจะสามารถเปล่งพลังแห่งความเป็นตัวเราออกมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณได้อย่างแท้จริง เราจะสามารถนำความหลากหลายทางร่างกายที่เคยถูกลบเลือนไปกลับมาสู่วัฒนธรรมของเราได้อีกครั้ง มนุษยชาติจะเติบโตเป็นดั่งต้นไม้ที่งดงาม


เราสูญเสียความหลากหลายและพลังแห่งการสร้างสรรค์ไปมากแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก จริงๆ มนุษย์ได้รับพรสวรรค์ต่าง ๆ อย่างเหลือล้น ถ้าเราทำลายกรอบนี้ลงได้ มนุษยชาติจะได้รับผลประโยชน์มากมาย


สิ่งที่เราจะสูญเสียไปก็มีเพียงอภิสิทธิ์ การกดขี่ และระบบสังคมชายเป็นใหญ่เท่านั้นเอง