Skip to main content

รากไม้กับใยเห็ดถอบ

คอลัมน์/ชุมชน




ถึงหนูแจ๋วที่น่ารักและซุกซน (ใช่มั้ย)


ให้ทายสิจ๊ะ ว่าน้าเพิ่งไปไหนมา...สถานีรถไฟจ้ะ เปล่าหรอก น้าไม่ได้เดินทางไปไหน แต่ไปส่งของถึงแม่ของหนูแจ๋วยังไงละจ๊ะ


ที่อาคารรับฝาก เจ้าหน้าที่กำลังขะมักเขม้นเขียนใบรายการให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง ชายอีกคนไม่สวมรองเท้า เข็นกล่องต่างๆ วางเรียงบนขอบข้างรางรถไฟ เขาหันมายิ้มและพูดกับน้าว่า
"
หวังว่าจะทันฝนนะ"


น้าจึงยิ้มให้เขาอย่างให้กำลังใจ เพราะบนท้องฟ้านั้น เมฆกลุ่มใหญ่ยังคงรวมตัวกันหนาแน่น แทบไม่มีแดดเลยในเช้านี้ ดูท่าแล้วอีกไม่กี่นาที ฝนอาจร่วงลงมาง่ายๆ


น้าเห็นห่อกระดาษเรียงเป็นตั้งๆ รวมน้ำหนักแล้วคงหลายร้อยกิโล คนเข็นของยังยิ้มอยู่เมื่อพูดต่อว่า
"
ถ้าไม่ทันละเจ๊งแน่"


คนรับรายการสินค้าเงยหน้าขึ้น โต้ตอบไปว่า
"
ฝนตกขนาดนี้ เห็ดถอบคงออกคึกๆ"


น้าได้แต่อมยิ้ม จนเมื่อผู้หญิงคนแรกลุกจากเก้าอี้ไปแล้ว น้าจึงเข้าไปนั่งแทน ส่งกล่องที่จ่าหน้าชื่อ ลงเบอร์โทรศัพท์ และสถานีที่จะให้นำของลงเรียบร้อย เจ้าหน้าที่รับไปลงบันทึกในใบรับฝาก เขาถามน้าว่า
"
ของเป็นอะไรครับ...เอกสารนะ"


แล้วก็กาในช่องระบุประเภทอย่างรวดเร็ว คงเพราะน้าใช้กล่องสีน้ำตาลหุ้มห่อ หลังจากได้ใบเสร็จเรียบร้อยแล้ว น้าจึงโทรศัพท์ไปบอกแม่ของหนูว่า
"
พรุ่งนี้ไปรับของได้เลยนะ ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ส่งเห็ดถอบไปพร้อมกับสีผึ้งน้ำมันมะพร้าว"


หนูแจ๋วคงงงสินะจ๊ะ ว่าทำไมเจ้าหน้าที่ในสถานีจึงกล่าวถึงเห็ดถอบ เมื่อมีคนพูดถึงฝน และทำไมน้าจึงต้องส่งของตั้งไกลไปให้แม่ของหนู ทั้งๆ ที่น่าจะหาซื้อได้ไม่ยาก


ก็เพราะว่า ในหน้าฝนนี้ เป็นฤดูกาลที่เห็ดถอบจะผุดขึ้นจากพื้นดิน เป็นอาหารเลื่องลือของเมืองเหนือ (ที่จริง ทางอีสานก็มีนะจ๊ะ) และความจริงแล้ว เห็ดถอบนั้น จะพูดว่าหากินง่ายก็ง่าย หากินยากก็ยาก เพราะถ้าอยู่นอกฤดู เห็ดถอบที่ใช้ทำอาหารต่างๆ มักใช้จากที่เป็นกระป๋อง หรือถ้าจะมีวางขายในกรุงเทพฯ หรือบางจังหวัด ก็เป็นเห็ดที่ผ่านเวลาในการขนส่ง


หนูแจ๋วคงอยากรู้เต็มทีแล้วสิว่า เห็ดถอบหน้าตาเป็นอย่างไร รสชาติแบบไหน เอามาทำอะไรได้บ้าง เอาล่ะจ้ะ หนูแจ๋วไปขอแม่ชงเครื่องดื่มอุ่นๆ ให้สักแก้ว น้ำขิงก็ดีนะจ๊ะ ลองหัดชิมดู ฝนลงพรำๆ แบบนี้ จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ไม่เป็นหวัดง่าย (หนูแจ๋วคงจำได้ว่า เวลาไม่สบายน่าเบื่อขนาดไหน) แล้วมานั่งอ่านจดหมายของน้าที่มุมโปรดของหนู ชวนน้องลิงน้อยมาฟังด้วยก็ได้นะจ๊ะ


เห็ดถอบนั้นมีอีกชื่อว่า เห็ดเผาะ น้าเข้าใจว่าคงมาจากความเผาะ หรือเปราะ หรือเปลือกนอกที่กรอบกรุบๆ ในแต่ภาษาเหนือนั้น น้าไม่แน่ใจว่ามีความหมายอย่างไร ถ้าดูตามพจนานุกรม ถอบ มีความหมายถึง ชัดเจน, พูดได้คล่อง เช่น อู้บ่ถอบ แปลว่า พูดไม่ชัด เป็นต้น


เห็ดถอบนั้น จะมีให้กินเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น และที่ยังครองอันดับหนึ่งประเภทเห็ดป่ายอดเยี่ยม สูสีก็แต่เห็ดโคน (หนูแจ๋วคงเคยได้ยินชื่อ) เป็นเพราะเห็ดชนิดนี้ ยังเพาะในแปลงหรือในถุงไม่ได้ ไม่เหมือนเห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า หรือเห็ดมาใหม่อย่างเออรินจิ ซึ่งพัฒนามาจากเห็ดรมหลวงนะเอง


แต่ถ้าหนูแจ๋วอยากลองเพาะเห็ดถอบจริงๆ ก็มีทางเป็นไปได้จ้ะ แต่ว่าสิ่งแรกที่หนูแจ๋วจะต้องทำคือ การปลูกป่า!


ใช่แล้วจ้ะ การเพาะเห็ดถอบนั้นทำได้ แต่ใช้เวลายาวนาน และไม่สามารถเพาะในแปลง ในถุง ในโรงเรือน ใดใด ที่ๆ เห็ดเผาะจะเจริญเติบโต คือในดินที่มีต้นไม้ประเภทยางนา พลวง เต็ง รัง ตะเคียน พะยอม เหียง สะแบง กะบาก ฯลฯ เพราะเห็ดถอบนั้นสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับต้นไม้เหล่านี้


วิธีทำนะจ๊ะ หนูแจ๋วต้องเริ่มที่หน้าแล้ง ปลายๆ เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ เมื่อต้นไม้ในป่าสลัดใบและทิ้งเมล็ดลง หนูแจ๋วก็ไปเก็บมาเพาะในถุงดำ หมั่นรดน้ำไว้


จนถึงฤดูฝน ต้นไม้ที่หนูเพาะไว้ก็จะแทงทะลุดินขึ้นมา พอดีกับเห็ดถอบมีวางขายทั่วไป หนูก็ไปหาซื้อเห็ดถอบลูกโตๆ แก่ๆ พอผ่าดูเห็นเนื้อในสีดำ นั่นล่ะจ้ะ สิ่งที่เราต้องการ


ให้หนูผ่าเห็ดออกเป็นสองซีก ขยำๆ กับน้ำสะอาดสัก 1 ขัน เนื้อในสีดำๆ นั้นคือสปอร์นะเอง การขยำกับน้ำ ก็เพื่อให้สปอร์ได้หลุดออกมา จากนั้นหนูก็นำน้ำผสมสปอร์เห็ดถอบไปรดกล้าไม้ในถุง ไม่ใช่ครั้งเดียวนะจ๊ะ ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ รด ทำซ้ำไปสัก 2 – 3 วัน หรือ 4 – 5 ครั้ง จนกระทั่งเชื้อเห็ดแทรกเข้าไปเกาะรากไม้ หรือสังเกตว่าต้นกล้าสูงกว่าเดิมแล้ว ก็นำไปปลูกไปป่า


น้าบอกแต่แรกแล้วว่า การเพาะเห็ดถอบนั้นใช้เวลานาน เพราะอะไรนะหรือ ก็เมื่อหนูนำกล้าไม้ที่เพาะไว้ไปลงดินในป่า ก็ต้องรอไปอีกหลายปี ให้สปอร์เห็ดกับรากไม้ได้อยู่ร่วมกัน ช่วยเหลือกันและกัน โดยรากไม้ก็จะแบ่งอาหารบางส่วนแก่ใยเห็ด ใยเห็ดก็จะช่วยซับน้ำที่ระเหยจากดินชั้นล่าง สร้างความชุ่มชื้นแก่ต้นไม้ ให้อยู่รอดได้มากขึ้นในหน้าแล้ง เหมือนกับฝ่าฟันวิกฤติต่างๆ ไปด้วยกัน เพราะถ้าต้นไม้ตาย เห็ดก็ไปไม่รอด ไม่มีเห็ด ต้นไม้ก็ต้องเสี่ยงกับการขาดน้ำ เห็นไหมจ๊ะธรรมชาติจัดสรรทุกอย่างลงตัวแค่ไหน


และแล้ว จนถึงวันที่ต้นไม้เติบโตเต็มที่ ประมาณ 3 – 5 ปี หรือ 1,000 -2,000 วัน (นานไหมล่ะ!) ฤดูฝนเวียนมาอีกครั้ง ใยเห็ดก็จะผลิดอกออกมา


นานมาแล้ว น้าเคยไปหาเห็ดถอบด้วยนะจ๊ะ ในช่วงต้นฤดูฝนอย่างนี้ อยากจะเล่าบรรยากาศนั้นให้หนูฟัง


เป็นความสดชื่นเหลือเกินจ้ะ น้าจะแต่งตัวรัดกุมด้วยเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว รองเท้าบูทยาง (เผื่อเจอที่ลื่น หรือโคลนตมระหว่างเดินทาง) มีหมวก ผ้าขาวม้า ห่อข้าว ถุงย่าม และอุปกรณ์สำหรับคุ้ยหาเห็ดถอบ เรียกเป็นภาษาเหนือว่า "ขอเก๊าะ"


ขอเก๊าะเห็ดถอบนี้ ลักษณะเหมือนเสียมอันน้อย แต่มีปลายเป็นจอบ หรือหนูแจ๋วจะนึกถึงตะขอสับช้างก็ได้ เพราะคล้ายกัน แต่ละบ้านตีนดอย (สมัยก่อน) จะต้องมีติดไว้ เพราะได้ใช้แน่นอนในฤดูหาเห็ด


น้าจะออกแต่เช้า เพราะการเข้าป่าตอนที่แดดยังมาไม่ถึงทำให้เราไม่เหนื่อยเร็วมากเกินไป สมัยก่อนนั้นน้าต้องเดินจากหมู่บ้านไปจนถึงทุ่งนา ข้ามท้องนาไปจนถึงลำธาร ข้ามลำธารจนเจอลำห้วย ไต่สะพานข้ามห้วยไปจนถึงชายป่า และในป่านั้นเองที่น้าจะเจอความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ


ป่าในฤดูฝนนี้จะมีความหอมมากเหลือเกิน เสียงนก เสียงแมลง เหมือนจะพูดคุยกันเซ็งแซ่ ถ้าต้นไม้พูดได้ก็คงกระซี้กระซิกเล่าสู่กันฟังว่า นกตัวนั้นโผมาจับกิ่งนี้ นกตัวนี้กระโดดไปเล่นต้นโน้น เพราะเมื่อคืนฝนลงหนัก มดแมลงก็ออกหากินคึ่กๆ บางกลุ่มยกขบวนหนีน้ำ บางพวกออกมาซ่อมแซมรัง บางตัวมีของกิน แต่บางตัวก็โดนจับกิน เป็นวัฏจักรธรรมชาติ หรรษาร่าเริง หงอยเหงาเศร้าโศก แต่ก็ทำให้โลกหมุนไปด้วยความสมดุล


น้าได้ยินเสียงจากธรรมชาติเหล่านี้ก็จะอดยิ้มไม่ได้ คนที่ไปด้วยกัน (เวลาไปหาของป่า เรามักจะไปเป็นกลุ่มจ้ะ แบ่งกันหา แบ่งกันกิน) ก็ยิ้มไปตามๆ กัน หลังจากนั้นเราก็กระจายออกไปคุ้ยหาเห็ด สังเกตตามใกล้ๆ โคนต้นไม้ ตรงไหนมีดินพูนนิดๆ มีเห็ดกลมๆ ผุดโผล่เหมือนชวนเล่นซ่อนหา เราก็จะปักหลักใช้ "ขอเก๊าะ" คุ้ยเขี่ยเบาๆ เก็บลงถุงย่าม


การหาเห็ดนี้ จะว่าไปแล้ว ใช้เวลาเช่นกัน เพราะใช่จะเดินไปแล้วเจอง่ายๆ เราต้องเดินอย่างระมัดระวังเพราะบางครั้งต้องปีนตามไหล่เขาลาดชัน น้าเคยตกดอยด้วยนะจ๊ะ อารามรีบและลื่น ตัวไถลลงเนินคว้ากิ่งไม้ไม่ทัน ผลก็คือก้นจ้ำเบ้า เคล็ดไปหลายวัน คนที่ไปด้วยกันหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ทำเอาน้าอายมาก


แต่การหัวเราะนี้ ไม่ได้หมายถึงการดูแคลนแต่อย่างใด เพราะในการออกหาของป่านั้น เราเปื้อนดิน เปื้อนโคลน หรือเกิดอุบัติเหตุต่างๆ ได้ง่ายจากสภาพแวดล้อม สิ่งสำคัญจึงเป็นสติเช่นเคย


สำหรับน้านั้น พอล้มลง คนที่อยู่ใกล้ก็รีบเข้ามาช่วยเหลือ ช่วยไปหัวเราะไป น้าเองพอหายเจ็บก็หัวเราะ (เจื่อนๆ นิดหน่อย) แล้วค่อยยักแย่ยักยันหาเห็ดต่อไป


ถ้าหนูแจ๋วมีโอกาสไปซื้อเห็ด ก็อย่าต่อราคามากนะจ๊ะ โดยเฉพาะคนที่หาเอง นำมาขายเอง เพราะกว่าจะได้เห็ดสัก 1 กิโลกรัม เชื่อว่าต้องเดินไม่ต่ำกว่า 3 กิโลเมตร บางครั้งอาจต้องผจญกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนักไม่ทันตั้งตัว บางทีเจอแมลงสัตว์กัดต่อย ที่สำคัญ การหาเห็ดนั้นต้องเดินแบบก้มๆ เงยๆ ตลอดเวลา ถ้าไปหาเห็ดติดต่อกันสัก 3 วัน ย่อมมีบ้างที่จะปวดหลังปวดเอว

อย่างไรก็ตาม การได้เข้าป่าหาเห็ดเป็นความสุขที่น้าไม่เคยลืมเลือน การค้นพบเห็ดแต่ละครั้งทำให้หัวใจพองโตน่าดู แต่ที่สุขมากกว่านั้นคือเมื่อนำเห็ดกลับถึงบ้าน นั่นหมายถึงอาหารมื้อพิเศษ หรือเงินที่จะแลกเปลี่ยนกลับมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา


แต่มีอย่างหนึ่งที่น้าอยากจะบอกหนูเอาไว้ในที่นี้ นั่นคือเห็ดทุกชนิด ปนเปื้อนสารพิษได้ง่ายมาก เห็ดถอบก็เช่นกัน


หนูอาจเคยได้ยินข่าวคนกินเห็ดถอบแล้วเป็นพิษจนต้องเข้าโรงพยาบาล นั่นเป็นเพราะสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในดินหรือน้ำ ในสมัยก่อนนั้น ป่าสะอาด ต้นน้ำลำธารสะอาด น้ำฝนก็สะอาดจนรองดื่มกินได้ แต่มาถึงสมัยนี้ ด้วยฝีมือมนุษย์นี้เอง สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก


ถ้าจะให้ดีแล้ว เมื่อหนูซื้อเห็ด จึงควรสอบถามว่าเป็นเห็ดจากที่ไหน แหล่งดิน แหล่งน้ำเหล่านั้นมีสภาพอย่างไร แม่ค้าอาจไม่มีเวลาตอบคำถามหนูมาก แต่อย่างน้อยให้ถามถึงสถานที่เพื่อกลับมาค้นข้อมูลว่าพื้นที่เหล่านั้นอยู่ตรงไหน อย่างไร เมื่อหนูปรุงอาหารจะได้ไม่ประมาท ล้างให้สะอาด ปรุงให้สุก สำหรับเห็ดถอบนั้นยิ่งพอกด้วยดินที่ติดมา หนูต้องแช่น้ำไว้สักระยะหนึ่งให้คราบดินหลุดออกไป หรือใช้เบคกิ้งโซดาผสมน้ำในการล้าง จะทำให้สิ่งสกปรกหลุดได้ง่ายขึ้น


น้าคงไม่ต้องบอกว่าเห็ดถอบทำอะไรได้บ้าง เพราะเชื่อว่าพรุ่งนี้ถ้าแม่ของแจ๋วได้รับเห็ดใหม่ๆ ที่น้าส่งไป คงจะทำอาหารพิเศษให้หนูชิมอย่างแน่นอน ที่น้าต้องการก็คือ อยากให้หนูเขียนมาบอกว่า รสชาติของเห็ดที่หนูได้ชิมนั้นเป็นอย่างไร


เพราะสำหรับน้าแล้ว รสชาติของเห็ด เป็นความสดชื่นของผืนแผ่นดิน เป็นสิ่งที่วิเศษเพราะรวมเอาความรักของสิ่งต่างๆ ไว้ด้วยกัน ถ้าหนูจำวิธีเพาะเห็ดถอบที่น้าเล่าไปในตอนต้น ว่าต้องเริ่มที่การปลูกป่า หนูก็คงพอเข้าใจว่าความรักเหล่านั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน


กี่วันเดือนปี ที่ใยเห็ดอยู่ร่วมกับรากไม้ พึ่งพิง เติบโต อุ้มชูกันและกัน ในอ้อมกอดของดิน น้ำ แสงอาทิตย์ แสงจันทร์ นอกจากนั้น ทุกๆ คืนที่หนูหลับใหล ทุกๆ วันที่หนูตื่นมาใช้ชีวิต ยังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมาย ถักทอสายใย ประสานสมดุล สร้างอาหารกายอาหารใจให้กับเรา


ทุกครั้งที่หนูรับประทานอาหาร น้าจึงอยากให้หนูคิดถึงความรัก ความเมตตา ความปรานีที่โลกมอบต่อเราทุกคน ธรรมชาติมีกลไกที่มหัศจรรย์ และอาจมีความลับอีกมากที่เราไม่รู้ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร สิ่งสำคัญแท้จริงก็คือ เมื่อหนูรักเขา เขาจะรักหนูตอบ หนูดีกับเขา เขาจะดีกับหนู ง่ายๆ เท่านี้เองในการอยู่ร่วมกัน


นั่นเพราะธรรมชาติซับซ้อนกว่ามนุษย์ แต่ไม่ลดเลี้ยวเช่นมนุษย์ ใจคนเป็นเขาวงกตอันตราย แต่ในป่าซึ่งดูเหมือนอันตราย กลับเต็มไปด้วยสิ่งที่จะช่วยให้เราเติบโต รอดพ้น คนที่ฉลาดที่สุด จึงหมายถึงคนที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างงดงามและกลมกลืน


จดหมายฉบับนี้ยาวอีกเช่นเคย กว่าอ่านจบน้ำขิงคงหมดแก้วพอดี ถ้าหนูวิ่งไปขอให้แม่เติมให้ อย่าลืมบอกด้วยว่าน้าฝากความคิดถึงมาพร้อมกัน


ด้วยความรักหนู เหมือนที่รากไม้กับใยเห็ดรักกัน
น้ากระถิน