Skip to main content

อุทยาน,รีสอร์ท,ชาวบ้าน อยู่ด้วยกันได้ไหมเธอ

คอลัมน์/ชุมชน

เขียนเรื่องเกาะมุกด์มาสองฉบับ "แสงดาว ศรัทธามั่น" กวีนักเดินทาง เขียนเล่ามาสั้น ๆ ว่า เขาเคยไปเกาะมุกด์มาแล้ว อ่านบทกวีร่วมกับกวีเมืองตรัง อ่านกันกลางแดดเปรี้ยงในเรือที่ลอยลำ เพื่อพี่น้องชาวประมง ที่เรียกร้องสิทธิทำกินจากอุทยาน แสงดาว บอกว่าอยู่ในสถานการณ์ต่อสู้จึงไม่ได้นั่งชื่นชมความงามของเกาะ


มาถึงวันนี้อยากจะบอก "แสงดาว" ว่าสถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เรื่องเกี่ยวกับอุทยานเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นปัญหากันอยู่แต่ดูเหมือนจะเบาลงหรือไม่ก็รูปแบบเปลี่ยนไปตามวันเวลา ชาวบ้านรู้ว่าสิทธิของตัวเองอยู่ตรงไหนมากขึ้น ในขณะเดียวกัน อุทยานก็เปลี่ยนท่าทีไปบ้าง


หนุ่มใต้อีกคนบอกว่า "กำลังหาวิธีอยู่ด้วยกัน เริ่มมีการแต่งตั้งชุดทำงาน เรื่องแนวเขตก็จะตกลงกันว่าของอุทยานอยู่ตรงไหน แล้วของชาวบ้านอยู่ตรงไหน เป็นแผนการหาข้อตกลงร่วมกัน ที่มีปัญหาเรื่องแนวเขตกับอุทยานก็มีประมาณ 70–80 ราย"


ในขณะเดียวกันผู้ใหญ่บ้านก็บอกว่า
"
เรื่องปัญหาที่ดินกับทางอุทยาน ดำเนินการแก้กันมา 3 สมัยผู้ใหญ่บ้าน จนมาถึงรุ่นนี้ก็ยังคงแก้กันอยู่ อย่างเรื่องทะเล ผู้ชายก็ออกทะเลไม่ได้คิดอะไร ก็เอามาประทังชีวิต ฝ่ายแม่บ้านก็อยู่บ้าน ตอนนี้เริ่มมีความเข้าใจกันจัดการผ่อนปรนว่าจะมีวิธีการอย่างไร โดยตั้งคณะกรรมการเป็นผู้จัดการ เจ้าหน้าที่อุทยานเขาทำอะไรไม่ได้ ขัดกับกฎหมาย แล้วกฎของอุทยานก็เข้มแข็งมากเกินไป"



เรือเล็กชาวประมงกับเรือสำราญต่างกันแต่อยู่ในทะเลเดียวกัน


ส่วนป๊ะหะเต็น หมื่นภักดี ฟันธงลงไปว่า อุทยานอยู่กับรีสอร์ทได้ แต่อุทยานอยู่กับชาวบ้านไม่ได้ แกตั้งคำถามว่าทำไม และคำตอบของแกก็คือ ไม่มีความยุติธรรม


ฟังป๊ะเต็นเล่าดูนะคะ แกเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่อยู่มาตั้งแต่รุ่นตายาย
"
สมัยก่อนคนบนเกาะหาอยู่หากินก็โดยวางอวนปลาทู ไม่มีเรือเครื่องก็ใช้เรือเทียบ วางอวนล้อมปลาทู เวลากลับจากทะเลก็จะเป่าหวูดเป็นสัญญาณ แล้วพวกแม่บ้านก็จะมาเลือกปลาทู ขอดเหงือกและพุงออก แล้วใส่บ่อปูนใส่เกลือไว้ ส่วนพุงปลาก็เอาใส่ขวดใส่เกลือไว้ขาย (ทำเป็นไตปลา) สมัยนั้นไม่มีน้ำแข็งก็เลยต้องใช้เกลือ แล้วเราเอาปลาไปแลกข้าวสารของชาวจีนที่กันตัง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่
สมัยก่อนปู ปลา เหลือเฟือ ถ้าจับปูไข่ ปลาไข่ได้ เขาจะปล่อย ไม่เหมือนสมัยนี้จับได้ก็จับกันหมด เครื่องมือจับปลาแบบใหม่"


ฟังป๊ะเต็นพูดก็แสดงว่าการอนุรักษ์มีมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งเริ่ม เป็นการอนุรักษ์แบบมีจิตสำนึกไม่ต้องมีโครงการ



ผ่านถ้ำมรกตสู่หาดทรายและหินผาสูง


ป๊ะเต็นเล่าต่อว่ามีเรื่องขัดแย้งกับอุทยาน
"
อุทยานมาโค่นมะพร้าว พวกชาวเกาะก็กลัวว่าจะมาโค่นยางด้วย เขาจะมาตั้งสำนักงาน และอุทยานมาเก็บค่าเรือเข้าถ้ำมรกต ลำละ 200 แต่ชาวบ้านไม่ยอม เราก็ใช้วิธีประท้วงด้วยการเอาเรือไปปิดถ้ำ คือพากันไปจอดเรือขวางเต็มหน้าถ้ำ เราพูดกับเขาดีๆ ว่าอย่าเอาเปรียบ อย่าเอาอำนาจข่ม พวกเราปิดถ้ำอยู่ 2 วัน ก็ตกลงกันได้


เรื่องที่ดินก็ไม่จบ ทุกวันนี้ยังมีชาวบ้านโดนจับคดีที่ดินอยู่ ที่ดินตรงนี้ของพวกเราอยู่กันมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เราขอให้ออกใบ น.. 3 ให้ เขาไม่ออกให้ แต่ที่หาดโน้นมีนายทุนกับชาวบ้านที่เป็นนายหน้าขายที่ดินร่วมกับพนักงานที่ดินร่วมกันทำ ขอให้ออกใบ น.. 3 ก็ออกได้ ผมก็ถามเขาว่าทำไมที่นั่นออกให้ได้ แล้วทำไมที่บ้านเกาะมุกด์ออกไม่ได้ เขาบอกว่าคุณหาเงินมาแล้วจะออกให้


ที่เรามีปัญหาเรื่องแนวเขตที่ดินของชาวบ้านกับของอุทยานเพราะว่าตอนที่เขาประกาศพื้นที่ว่าเป็นแนวเขตอุทยาน เขาใช้เฮลิคอปเตอร์ขึ้นไปดูแล้วกำหนดเอาเอง แล้วไม่ได้ลงมาดู มาสนใจว่ามีชาวบ้านอยู่ มีสวนยาง สวนมะพร้าวของชาวบ้าน


ปัญหากับอุทยานมีมาก บางคนไปวางอวนแถวหน้าอุทยานไม่ได้ แต่บางคนที่รู้จักกับคนในอุทยานสนิทสนมกันก็ไปวางอวนได้ คนที่ไม่รู้จัก ไม่สนิทสนมก็ไปวางไม่ได้"



ป๊ะเต็นเล่าเรื่อง


ป๊ะเต็นว่า แกมีที่ดินตายายจับจองไว้ และแกหวังว่าที่ดินที่แกดูแลอยู่นี้จะเป็นของลูกหลานต่อไป ไม่อยากขายแม้ว่าจะมีนายทุนมาขอซื้อเพื่อไปสร้างรีสอร์ทในราคาเป็นล้าน และทันทีที่แกขายไปเชื่อว่าเมื่อเป็นของนายทุนเขาจะขอ นส. 3 ได้ทันที


ผู้มาเยือนจากภาคเหนือคนหนึ่ง กล่าวให้กำลังใจชาวบ้านเกาะมุกด์ว่า ปัญหาอุทยาน เหมือนกันทั่วประเทศ ต่างกันแค่สภาพพื้นที่ แต่ว่าปัญหาเดียวกันคือเจ้าหน้าของรัฐไม่เข้าใจวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านแล้วก็เข้ามาจัดการ เพราะฉะนั้นเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ เกี่ยวกับการจัดการป่า มันใช้ทั้งประเทศไม่ได้เพราะว่าพื้นที่มันไม่เหมือนกัน



ซ่อมเรือ


จำได้ว่าป๊ะคนหนึ่งพูดว่า ‘ถ้าจะรักษาต้นทางอาหารไว้ให้ได้ต้องมีกฎหมายพ...ป่าชุมชน และพ...ประมงพื้นบ้านเพื่อรองรับสิทธิของชุมชนที่อยู่แถวนั้นให้มีสิทธิ์ในการร่วมกันจัดการต้นทางอาหารเอาไว้ เพราะว่าเขากินอาหารเขาต้องรักษา การรักษาต้นทางอาหารทำเพื่อตัวเองและเพื่อคนอื่นด้วย’ ดังนั้นคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องไกลห่างนะ ที่พูดเรื่องพ...ป่าชุมชนและพรบ.ประมงพื้นบ้าน คือกำลังพูดถึงสิทธิของชุมชนกับการจัดการทรัพยากร

แต่ป๊ะเต็นว่า "อุทยานกับรีสอร์ทอยู่ด้วยกันได้ แต่กับชาวบ้านเหมือนอยู่ด้วยกันไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม" ป๊ะเต็นพูดเสียงเข้ม


อ่านต่อฉบับหน้า


** ภาพประกอบโดย รัตติกาล แก้วกาบคำ