Skip to main content

ลิ่วล้อทักษิณ ดีกว่าสมุนเผด็จการ

คอลัมน์/ชุมชน

"ลิ่วล้อทักษิณ ดีกว่าสมุนเผด็จการ" เป็นคำกล่าวของคุณจรัล ดิษฐาภิชัย หนึ่งในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ให้สัมภาษณ์ต่อมติชนในวาระการรำลึกถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535


มติชนได้ตีพิมพ์คำสัมภาษณ์ของคุณจรัล ดิษฐาภิชัย เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2550 เป็นคำสัมภาษณ์ที่ไม่ยาวนัก "ลิ่วล้อทักษิณ ดีกว่าสมุนเผด็จการ" คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวที่กระชับ ชัดเจน และถูกต้องอย่างที่สุด เพราะการเป็นลิ่วล้อทักษิณ หากจะน่ารังเกียจ ก็คงจะน่ารังเกียจน้อยกว่าสมุนเผด็จการหลายร้อยเท่า คุณจรัล ดิษฐาภิชัย บอกต่อไปอีกว่า เขาพอใจมากกว่า หากใครๆ จะมองเขาเป็นลิ่วล้อทักษิณ เขากล่าวว่า "ผมไม่กลัวที่จะถูกมองว่าเป็นลิ่วล้อทักษิณ แต่ชีวิตผมจะไม่ยอมเป็นสมุนเผด็จการแน่นอน"


พวกพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นหางเครื่องเผด็จการ คมช. ได้ยินคำพูดของคุณจรัล ดิษฐาภิชัย แล้วคงสะดุ้งโหยง เพราะแม้นรัฐประหารผ่านไปแล้ว 8 เดือน พวกพันธมิตรฯ ก็ยังคงด่าอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ไม่เลิก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใดสำหรับคนพวกนี้ คนพวกนี้สามารถมองเห็นความเลวร้ายของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้ร้อยแปดเรื่อง จริงบ้างเท็จบ้าง แต่มองไม่เห็นความเลวร้ายของ คมช. สักเรื่องเดียว มากไปกว่านั้น ยังช่วยแก้ต่าง แก้ตัว เป็นกระบอกเสียง เป็นลูกคู่ให้ คมช. อย่างหน้าด้านๆ


เช่นนี้แล้วคงจะไม่แปลก หากประชาชนจะคิดว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสมุนเผด็จการเท่านั้น


คุณจรัล ดิษฐาภิชัย พูดถึงการโกหก แม้นจะไม่เอ่ยชื่อแต่ผู้อ่านก็คงตีความได้ว่าคุณจรัล ดิษฐาภิชัย หมายถึงการโกหก โฆษณาชวนเชื่ออันเหลวไหล ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งทำอย่างเป็นกระบวนการและนำไปสู่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายถึงทุกวันนี้


บทบาทและจุดยืนทางการเมืองที่ไม่เคยเปลี่ยนของคุณจรัล ดิษฐาภิชัยได้ถูกตอกย้ำให้ชัดยิ่งขึ้นเมื่อเขารับเป็นที่ปรึกษาให้กับ 12 องค์กรต่อต้านรัฐประหาร ซึ่งองค์กรเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นคลื่นใต้น้ำในตอนแรก ต่อมาก็เป็นพวกรับท่อน้ำเลี้ยงจากทักษิณ ซึ่งคุณจรัล ดิษฐาภิชัย เห็นว่าเป็นการป้ายสีเพื่อให้สังคมเข้าใจว่าคนที่ออกมาไม่ใช่พลังบริสุทธิ์ เพราะถ้าบริสุทธิ์จริง คนต้องมาร่วมเป็นจำนวนมากกว่าที่เป็นอยู่


"ผมอยากบอกว่า การที่คนไม่มาร่วมเป็นเพราะยังตะขิดตะขวงใจอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ชนชั้นกลางทั้งนักวิชาการ สื่อมวลชน อยากให้ทักษิณออกไป จึงสนับสนุนให้เกิดรัฐประหาร รวมถึงบรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลาย วันนี้สังเกตดูไม่มีใครฟังพวกผู้ใหญ่แล้ว เพราะคุณได้เลือกข้างไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จู่ๆ วันนี้จะให้ไปเข้าร่วมกับกลุ่มคนที่ถูกมองว่าเป็นลิ่วล้อทักษิณ ก็คงยังรับไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองอาจจะไม่ชอบ คมช.และรัฐบาลแต่ก็เลือกที่จะนิ่งไว้"


คุณจรัล ดิษฐาภิชัย ไปไกลอย่างน่ายกย่องเมื่อเขาบอกว่าทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นเผด็จการ แต่มีคนบางกลุ่มพยายามจะสร้างข้อกล่าวหาต่อทักษิณ เพื่อสนับสนุนเผด็จการตัวจริงเสียงจริงมากกว่า คนกลุ่มนี้ยังด่าทักษิณไม่เลิกทั้งนี้เพื่อสร้างกระแสความชอบธรรมในการโค่นล้มประชาธิปไตย แล้วให้เผด็จการตัวจริงเสียงจริงขึ้นมาเถลิงอำนาจ แล้วคนกลุ่มนี้ก็คอยรอรับส่วนแบ่งไปนั่งเป็นสนช. บ้าง กมธ. บ้าง รมต. บ้าง


"ผมบอกกับเครือข่าย 12 องค์กรฯ ว่าไม่ต้องกลัวจะถูกมองเป็นลิ่วล้อทักษิณ เพราะการเป็นสมุนเผด็จการเลวร้ายกว่าระบอบทักษิณเยอะ วันนี้ถามว่าตั้งแต่มีระบอบ คมช. มา 7 เดือน ประเทศชาติมีอะไรดีขึ้นบ้าง แต่ทักษิณทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติมากมาย"


ผมอยากได้ยินใครพูดอะไรแบบนี้มานานแล้ว หมายถึงว่าออกมาจากปากของนักวิชาการหรือจากปากคนที่มีชื่อเสียงทางสังคมซึ่งมีใจเป็นกลาง มองเห็นอยุติธรรมที่เกิดขึ้นจากขบวนการทำลายทักษิณ


ซึ่งจะเห็นได้ว่า นับวันเสียงจากนักวิชาการที่มีสติปัญญามองเห็นความไม่ชอบมาพากลก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เช่น จากกลุ่มของอาจารย์วรเจตน์ ภาครัตน์ แห่งนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (ที่กู้หน้า กู้ชื่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไว้ได้มากหลังจากที่อธิการบดี ซึ่งเคยเป็นอดีตคณบดีนิติศาสตร์ ได้ทำให้มหาวิทยาลัยด่างพร้อยด้วยการกลายร่างเป็นสมุนของ คมช. ไปเรียบร้อยแล้ว) หรือจากนักเศรษฐศาสตร์ อย่างอาจารย์พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ความคิดความเห็นของคนเหล่านี้จะช่วยเตือนสติคนไทยไว้ไม่ให้เดินไปสู่หุบเหวทางการเมือง ซึ่งหากตกลงไปแล้วก็ยากจะปีนกลับขึ้นมา


คุณจรัล ดิษฐาภิชัย ไม่กลัวแต่ประการใดที่ใครจะมองว่าเขาเป็นลิ่วล้อทักษิณ เขาทิ้งท้ายไว้ว่า


"เพราะทักษิณไม่ได้เลวร้าย แต่เป็นวิธีโจมตีง่ายๆ ไม่ต้องใช้สติปัญญาอะไรเลย ผมไม่กลัวจะถูกมองว่าเป็นลิ่วล้อทักษิณ แต่ชีวิตผมจะไม่ยอมเป็นสมุนเผด็จการแน่นอน วันนี้ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ 30 ล้านคนยังรักทักษิณ คนเกลียดทักษิณมีไม่ถึง 10 ล้านคน แต่บังเอิญคนที่เกลียดมีพวกปัญญาชน สื่อมวลชน รวมอยู่ พวกนี้เสียงดังกว่า แต่ผมยังเลือกที่จะอยู่ฝ่ายคนส่วนมาก และผมเชื่อว่าเสียงส่วนมากจะชนะเสียงส่วนน้อยไม่วันใดก็วันหนึ่ง"


ขอแสดงความชื่นชมต่อความกล้าหาญของคุณจรัล ดิษฐาภิชัย นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ซึ่งพูดความจริงที่หลายคนไม่อยากฟัง.