Skip to main content

Brokeback Mountain ชีวิตของเกย์และเพศที่เกี่ยวข้องในสังคม..คุณได้อะไรจากหนังเรื่องนี้บ้าง

คอลัมน์/ชุมชน

"ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัวเอง" เพราะบทละครส่วนมากเขียนจากเรื่องจริงเป็นพื้นฐาน หลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว สะท้อนให้เห็นชีวิตของหลากเพศในสังคมซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว Brokeback Mountain หนังดังระดับฮอลลี่วู๊ด และได้รับรางวัลการันตีมากมายหลายสาขา ขอหยิบมาเม้าท์เล่าสู่กันฟังในสัปดาห์นี้นะคะ


ดูหนังเรื่องนี้เมื่อปีที่แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนำมาเม้าท์เล่าสู่กันฟังระดับหนังดังของโลก ซึ่งชาน่าคิดว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับหลายเพศที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบันนี้ค่ะ


หลังจากดูหนังเรื่องนี้แล้วเกิดคำถามและข้อคิดมากมายที่ได้ จนบอกกับตัวเองไม่ถูกว่าเกิดอารมณ์ไหน ทั้งเศร้าและในขณะเดียวกันนั้นสับสน จนต้องส่องกระจกย้อนมองตัวเอง ว่าหนังเรื่องนี้ให้ข้อคิดอะไรกับชีวิตของเกย์ และชีวิตของชายจริงหญิงแท้บ้าง กลับไปคิดอยู่นานเชียวล่ะค่ะ


Brokeback Mountain กำกับการแสดงโดย อั้งลี่ เป็นผู้กำกับหนังที่ไม่เคยทำให้อิชั้นผิดหวังแม้แต่เรื่องเดียวค่ะ ซึ่งได้รับการดัดแปลงมาจากเรื่องสั้น โดยนักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ ชื่อ E.Annie Proulx ปัจจุบันเธออายุ 72 ปี เรื่องสั้นได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารนิวยอร์กเกอร์ ปี 1997 ต่อมาได้รวมเล่ม ในหนังสือเรื่องสั้นของเธอ ชื่อ Close Range : Wyoming Stories


"ฉันอ่านได้แค่ค่อนเรื่อง น้ำตาพร่างพรูอย่างไม่รู้ตัว และความเศร้าของเรื่อง มันทำให้ชั้นถึงกับอ่อนล้าหมดแรง" เสียงของ ไดอาน่า ออสซาน่า หนึ่งในผู้ดัดแปลงเรื่องสั้นเป็นบทภาพยนตร์ นี่ล่ะค่ะอานุภาพของวรรณกรรมคุณภาพที่สัมผัสได้มากกว่าความรู้สึก


เรื่องเล่าย่อๆ "Brokeback Mountain" เป็นเรื่องราวของคาวบอยมะกันที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางบรรยากาศพาไป หัวใจกระเจิง เถิดเทิงแบบได้หลังแล้วลืมหน้า ระหว่างแจ๊ค - Jack Twist (Jake Gyllenhaal) กับเอนนิส - Ennis Del Mar (Heath Ledger) ทั้งสองได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งด้วยกันจากหน้าที่การงานของคนรับจ้างเลี้ยงแกะ (sheepherders) ในหุบเขาที่ไกลโพ้น ห่างไกลความเจริญ บั่นน๊อก บ้านนอก ซึ่ง จ้างทำงานโดยโจ - Joe Aguirre (Randy Quaid) หากจะเปรียบกับวิถีไทยคงไม่ต่างไปจากไอ้เขียวกับไอ้ขวัญ (นามสมมุติ) ที่ไปรับจ้างเลี้ยงวัวและควายตามไร่นาไหล่เขาบ้านนอก


หลังจากควันไฟ สุมควาย เอ๊ย สุมไล่ความหนาวเหน็บได้มอดลง แต่ความเหว่ว้า และตันหาโดยธรรมชาติของมนุษย์ หาได้สงบไม่ ทั้งสองตกหลุมรักด้วยความบังเอิญ น้ำเมา คละเคล้าบรรยากาศให้แบบพาไปไม่รู้ตัว "ชายได้ชาย แล้วจะเหลืออะไรเล่า ?" จึงไม่แปลกที่ใครหลายคนจะตั้งชื่อหนังเรื่องนี้เป็นภาษาไทยว่า "แตกหลังเขา" = Brokeback Mountain broke หมายถึงแตก Back หมายถึงหลัง Mountain คือเขา ... หรือ Bareback Mountain ร้ายกว่านั้นซะอีก ... ตลอดเวลาที่เค้าอยู่ด้วยกันในหุบเขา สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของสองหนุ่มที่จัดอยู่โครงการเอื้อ (อาทร) ดูแล ห่วงใย ใส่ใจ อาจจะมีขัดแย้ง รุนแรงกันบ้างแต่ก็สร้างสีสัน หรือเพิ่มความผูกพันกันมากขึ้น


"ความอ้างว้าง ว้าเหว่ และความใกล้ชิด สนิทสนม เป็นบ่อเกิดแห่งความรัก" ที่แจ๊คกับเอนนิสไม่ สามารถฝืนธรรมชาติและความต้องการทางเพศได้ แม้ตัวเองจะบอกว่า "ผมไม่ได้เป็นเกย์" ฉากหนึ่งที่เอนนิสพูดว่า "I'm no queer." และแจ๊คก็ตอบกลับไปอย่างไม่ต้องคิดว่า, "Me neither." "ผมก็ไม่เหมือนกันนะ" แต่แล้วทั้งสองก็กระทำซ้ำแล้วซ้ำอีก "Still, they do it again, and again, in the daylight as well as at night."




ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ในหุบเขา Brokeback Mountain ใน Wyoming high country ในรัฐเท็กซัส (แต่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำที่ Alberta, in the Canadian Rockies ) การแสดงออกถึงวิถีชีวิตของคาวบอยที่ ได้บรรยากาศธรรมชาติ รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงเรื่องความรัก ความห่วงใย แม้กระทั่งการปลดปล่อยความต้องการตามธรรมชาติทางเพศ แบบไม่คิดอะไรจนได้เรื่องระหว่างสองหนุ่มวัยกำยำ


หลังจากการเลิกจ้างของฤดูกาล จบสิ้นลงทั้งสองก็แยกทางจากกัน "See you around." คำกล่าวลาของแจ๊คกับเอนนิส

20
ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก เมื่อเอนนิสแต่งงานกับอัลมา - Alma (Michelle Williams) จนมีลูกสาวสองคน ส่วนแจ๊คก็พบกับลูรีน - Lureen (Anne Hathaway) ราชินีแห่งโรดิโอ จากเท็กซัส และแต่งงานอยู่ด้วยกันเป็นชีวิตครอบครัวของนักธุรกิจ ที่ทางฝ่ายหญิงมีหน้ามีตาในสังคม จนมีลูกชายหนึ่งคน


 


วันหนึ่ง แจ๊คส่งโปสการ์ดถึงเอนนิสบอกว่าจะมาเที่ยวที่ Wyoming และทั้งสองได้พบกันอีก และการพบกันนี้เองที่ทำให้อัลมา ภรรยาของเอนนิสได้เห็นอะไรที่บอกกับตัวเองว่าสองคนนี้ "ไม่ใช่เพื่อนกัน มันมากกว่านั้น กิ๊กกันหรือเปล่า" ความรู้สึกของเธอชา กระด้างอย่างบอกไม่ถูก ที่เห็นเต็มตา ฟ้องด้วยภาพอย่างเห็นได้ชัด (ตอนนี้ชาน่าเข้าใจถึงความรู้สึกของสตรีเพศที่รู้ว่าสามีของตัวเองกำลังเป็นเมียหรือสามีของคนอื่นได้อย่างดีเลยเชียวค่ะ ) แล้วทั้งคู่ก็นัดกันบ่อยจนออกนอกหน้า รวมทั้งการพบปะร่วมเพศกันในที่ลับตา (บอกแล้วว่าเกรงได้หลังแล้วจะลืมหน้าแม้กระทั่งฉากหนึ่งที่ เอนนิสร่วมรักภรรยาก็ยังไม่วายจะขอเข้าหลังบ้านอัลมา แน๊ะ...ประตูหลังนะเอนนิส)



ครึ่งหลังของหนังเรื่องนี้ หลังจากเอนนิสและอัลมาแต่งงานอยู่ด้วยกันสี่ปี วันหนึ่งเธอทนไม่ได้ต้องขอเลิก หย่าร้างจากกันไป สองชายยังคงนัดเจอกัน แม้จะไม่บ่อย แต่เรียกได้ว่า "หัวใจขอมา" ไม่ว่าจะนานแค่ไหน "ฉันยังรอ และยังคงเป็นความทรงจำที่ดียากจะลืมเลือน" เหมือนฉากที่ทั้งสองได้ประคับประคองดูแล ห่วงใย ใส่ใจกัน นักเขียนเธอบอกว่า

"What Jack remembered and craved in a way he could neither help nor understand was the time that distant summer on Brokeback when Ennis had come up behind him and pulled him close, the silent embrace satisfying some shared and sexless hunger."

ซึ่งในหนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นฉากร่วมเพศอย่างโจ๋งครึ่ม แต่แฝงไว้ด้วยความรักและผูกพันซึ่งกันและกัน " One tender moment's reprieve from loneliness can illuminate a life." - "ช่วงความรักใคร่ อ่อนโยน ห่วงใย ทำให้บรรเทาจากความอ้างว้าง สามารถส่องแสงสว่างนำทางให้ชีวิต" ได้ใจเหลือเกินประโยคนี้



Brokeback Mountain เกิดขึ้นช่วงปี 1963 ยังคงถ่ายทอดให้เห็นถึงกลิ่นอายในการต่อต้าน รังเกียจ เดียดฉันท์กลุ่มรักร่วมเพศ เห็นได้จากภาพฝังใจของเอนนิส ที่ฝังใจกับชายในหมู่บ้านถูกฆ่าอย่างทารุณ ตัดงูประจาน เป็นที่อับอายขายหน้า ของคนผิดธรรมชาติชายรักชาย (เหมือนกับข่าวล่าสุดของหนุ่มเกย์ ประเทศทางตะวันออกกลางที่ถูกฆ่าแขวนคอ ประจานอย่างทารุณ ด้วยความผิดเพศอันขัดต่อหลักทางศาสนา จารีต) เอนนิสจึงฝังใจ และรู้สึกผิดกับชาวรักร่วมเพศโดยตลอด แต่สุดท้ายใครจะรู้ว่าจะต้องเจอกับตัวเองจนได้ (พวกที่บอกว่าเกลียด ขยะแขยงเกย์ระวังนะคะ สักวันอาจจะต้องร้องขอกรอกใบสมัครเข้าสู่กลุ่มรักร่วมเพศถึงตอนนั้น ไม่รับสมัครแล้วจะหาว่าไม่เตือน ฮา ฮา ค่ะ)


ยามเมื่อค้นพบว่าสามีตัวเองเป็นเกย์ จะทำเยี่ยงไร ? ชาน่าเข้าใจในความรู้สึกของอัลมาเป็นอย่างดี แม้ตัวเองจะไม่ใช่สตรีเต็มร้อย กาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน อัลมายังคงจดจำฝังใจ จนอยากรู้จากปากของ เอนนิสว่า "เค้ามีดีที่ไหน เธอจึงละเมอเพ้อถึงอยู่ร่ำไปและเลือกจะทิ้งชั้นไป เพื่อให้ชีวิตเป็นอิสระ เธอเป็นเกย์ใช่มั้ย" ในฉากที่เอนนิสไปทานข้าวกับลูกสาวช่วงคริสต์มาส และอัลมา (แฟนเก่า) น่าเห็นใจเอนนิสเป็นที่สุด บางครั้งรักก็เลือกและออกแบบไม่ได้ "I wish I knew how to quit you!" (ซู๊ดยอดประโยคนี้เน๊อะ ..ท่องเอาไว้บอกผู้ชายได้ค่ะ...)


เอนนิสทำถูกหรือไม่ที่หลีกทางให้เธอ (อัลมา) ได้พบเจอคนที่ใช่ เพราะรู้ว่าตัวเองทำหน้าที่ของสามีที่ดีไม่ได้แล้ว "ปล่อยเธอไป" หรือเอนนิสควรจะหลอกตัวเอง หลอกสังคม ยอมกล้ำกลืนฝืนทนอยู่กับภรรยาและลูกไปตลอดชีวิต....."...There was some open space between what he knew and what he tried to believe, but nothing could be done about it ,and if you can't fix it you've got to stand it . "


แจ๊คยังคงมีความหวัง และฝันว่าสักวัน "เราจะอยู่ด้วยกันนะที่รัก" เพราะเสียงของหัวใจเรียกร้อง เมื่อนึกถึงสังคม และการยอมรับแล้ว.... "No ways ! " เพราะสังคมหรือที่เป็นตัวกำหนด ขีดชะตาชีวิตของชาวรักร่วมเพศ แม้กระทั่งในหนังยังบอกอย่างคลุมเครือว่าทำไม แจ๊คถึงถูกฆ่าตาย หากไม่ใช่เพราะภรรยาที่เกรงว่าจะเป็นที่อับอายของสังคมไฮโซ "เธอมีสามีเป็นเกย์หรือ" น่าสงสารความรักของแจ๊คอย่างบอกไม่ถูก



ฉากสุดท้ายของหนังที่เอนนิส เอาเสื้อของแจ๊คกลับมาอยู่ด้วยกัน และรู้สึกว่า แจ๊คยังคงอยู่ในใจเสมอ แม้ตัวเค้าเองจะต้องอยู่คนเดียวในที่แห่งหนึ่งที่ไม่ต้องห่วงเรื่องสังคม และสังคมจะไม่เป็นตัวกำหนดความรู้สึก ความต้องการแม้แต่ความรัก และปรารถนาของหัวใจ ....


"เศร้ามากค่ะ น้ำตาของหัวอกเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ซึมซาบเข้าไป เมื่อนึกถึงวิถีชีวีของเกย์ และของตัวเอง ยากเกินอธิบายนะคะ"


"หากจะรักแล้ว รักใครก็จงรักเถิด ความรักบรรเจิดพริ้งเพริดนักหนา ชีวิตคนเรานั้นสั้นเหลือคณา อย่ารอช้าปล่อยเวลาให้ผ่านไป" ชีวิตของคนเรานั้นสั้นนัก บางครั้งก็ยากที่จะกำหนดว่าเลือกจะรักยังไง แต่ก็ไม่เสียใจที่ได้รัก แม้มันจะไม่ใช่รักที่ถูกต้องตามธรรมชาติก็ตาม ห้ามอะไรห้ามได้แต่ห้ามใจไม่ให้รักนั้นยากนักเหลือคณาเชียวค่ะ


ด้วยความดังระเบิด และเปิดชีวิตของเกย์ สตรี ชายแท้ที่เกี่ยวข้องกันในสังคม Brokeback Mountain จึงเป็นหนังดีมีคุณภาพ หนังชีวิตที่อาจเกิดขึ้นกับใครสักคนที่ไกลหรือใกล้ตัวคุณก็เป็นได้ จนได้รับรางวัลดีเด่นมากมายอย่างเช่น รางวัลออสการ์ 3สาขา ได้แก่ Best Achievement in Directing, Best Achievement in writing <Adapted Screenplay> และ Best Original Score


และนอกจากนี้ยังได้รับ 4 รางวัล BAFTA (The British Academy Film Awards 2006) ได้แก่ Best Film, Best Supporting Actor (Jake Gyllenhaal), Adapted Screenplay และ Best Director คืออั้งลี่ จากการเข้าชิง 9 สาขาด้วยกัน


ในด้านของความรับผิดชอบหนังเรื่องนี้ต่อสังคมหลายคนบ่นว่า หนังเกย์มีเยอะมากทำให้กระแสชายทั้งหลายเปลี่ยนใจเป็นเกย์เพิ่มขึ้นหรือเปล่า ?


ชาน่าว่าไม่ทำให้เพิ่มขึ้นกันได้ง่าย ๆ หรอกค่ะ คนจะเป็นเริ่มจากใจและจิตใต้สำนึก ไม่ได้เป็นโรคติดต่อรับเชื้อเกย์พันธุ์ใหม่ เป็นกันง่ายเหมือนไข้หวัดนกซักหน่อยแต่หนังเรื่องนี้อาจทำให้เกย์มีความมั่นใจมากขึ้น ยอมรับตัวเองมากขึ้น และไม่ปิดบังสังคมมากขึ้น ซึ่งนั่นอาจทำให้คนคิดว่ามีเกย์เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง


"ทำไมตอนจบ แจ๊คต้องตายปล่อยให้เอนนิสใช้ชีวิตอยู่คนเดียว เศร้าเคล้าน้ำตา"

แล้วคุณล่ะคะ ดูหนังเรื่องนี้แล้วชอบตอนไหน รู้สึกเช่นไร บอกกล่าวกันได้ ยินดีนักแล


** ขอขอบคุณภาพประกอบจากคุณ ...Snodgrass, pantip