Skip to main content

ฝากธรรมะประโลมใจ

คอลัมน์/ชุมชน





สวัสดีพี่กระเทียมและอีหนูแจ๋ว


เห็นแจ๋วส่งข่าวมาบอกว่า เห็ดถอบที่ส่งไปให้นั้นนำไปทำแกงคั่ว ออกมาหน้าตาดีมาก "แม่บอกว่าอร่อยล้ำเลิศ" ฉันได้ฟังก็อดขันไม่ได้ คนที่สามารถชมตัวเองได้อย่างจริงใจก็เห็นจะมีแต่เธอนี่เอง


ทำอะไรกันอยู่จ๊ะ ตอนนี้ใกล้จะ 6 โมงเย็นแล้ว วันนี้ฉันทำงานได้แค่ครึ่งวัน อีกครึ่งหนึ่งออกไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล ไม่มีอะไรมากหรอก เวียนหัววูบๆ วาบๆ ประสาคนแก่ แต่คนอื่นๆ เขาเป็นห่วง อยากให้ไปปรึกษาหมอดู (ไม่ใช่ตรวจดวงชะตานะ!)


ผลที่ออก...หมอแนะนำว่าอายุมากแล้ว พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายให้เลือดสูบฉีด กินอาหารที่มีประโยชน์ หลับมากๆ!


ฉันฟังแล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะอะไรๆ ที่หมอบอกมาฉันก็รู้ดีทุกอย่าง แต่ก็นั่นเอง ฉันไม่ได้ทำทุกอย่างที่หมอบอกมาเหมือนกัน!!


แต่เอาละ ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันจะพยายามหาเวลาออกกำลังกายให้มากขึ้น จะหาเวลาลงสวนเองด้วย แทนที่จะปล่อยทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของแม่บ้าน


บ้านของฉันหลังกระจึ๋งนึง แต่ก็เพราะหลังเล็กๆ มีพื้นที่แคบๆ นี่เอง จึงเหลืองานอื่นๆ ให้ทำไม่มากนัก เพราะทันทีที่หญ้ารกก็จะมีคนคอยทำเสีย กุหลาบเหี่ยวแห้ง ว่าจะออกไปตัด ก็มีคนชิงตัด – ตัดหน้าเสียก่อน แต่ถ้าฉันเลิกจ้างไป ก็เอ็นดูว่าจะเขาขาดรายได้


แหม ฟังดูเหมือนมีเงินมากมาย ความจริงแล้วเป็นการพึ่งพาอาศัยกันมากกว่า ฉันคิดว่าโชคดีที่ได้เจอคนดีๆ คนน่ารัก มาทำงานให้กับเรา งานเล็กๆ น้อยๆ แลกกับค่าแรงเล็กๆ น้อยๆ เช่นกัน แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตเขา ทำให้ไปๆ มาๆ พวกเขาก็เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตฉันเช่นกัน


ฉันใช้คำว่า พวกเขา เพราะค่าแรงจากฉันและจากการทำงานอื่นๆ ด้วย ส่วนใหญ่ก็ใช้ในการดูแลครอบครัว แม่บ้านของฉันเป็นคนมีลูกมาก สามีติดเหล้า ฐานะพื้นฐานไม่ดี จึงทำให้ขาดแคลนบ่อยๆ แต่เชื่อไหมจ๊ะ เขาเป็นคนน้ำใจงาม มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เต็มเปี่ยม และฉันก็ดีใจที่ได้มีโอกาสพบปะกับคนเช่นนี้ หลายครั้งคำพูดของเขาได้กระตุ้นให้เกิดการฉุกคิด และเป็นคำสอนไปในตัว


ฉันมีความเชื่อของฉันว่า การที่มนุษย์เราได้พบปะ แลกเปลี่ยน สัมผัสสิ่งดีๆ ระหว่างกันนั้นเป็นเรื่องวิเศษและสลักสำคัญ ไม่มีข้อจำกัดว่าใครอยู่ในฐานะ อาชีพ อย่างไร เพราะในเนื้อแท้ เราต่างก็เป็นคนมีเลือดเนื้อ มีชีวิตจิตใจ มีความเจ็บ ความหิว มีความต้องการพื้นฐานเหมือนกันทุกอย่าง ดังนั้น ฉันจึงถือหลักปฏิบัติว่า เราอยากให้คนอื่นปฏิบัติกับเราอย่างไร ก็จงปฏิบัติกับคนอื่นแบบนั้น


พูดถึงเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ฉันก็นึกขึ้นได้ถึงวาทะของท่าน "พุทธทาสภิกขุ" ซึ่งช่วงนี้ก็ยังเป็นวาระเฉลิมฉลองครบรอบชาตกาล 100 ปี (วันเกิดของท่านคือ 27 พฤษภาคม 2449) เลยคัดลอกมาให้เธออีกครั้ง เผื่อจะได้ถือโอกาสอ่านและอธิบายให้อีหนูฟัง เหมือนที่เราเคยอ่านด้วยกัน


เพราะวันสองวันนี้ สถานการณ์บ้านเมืองดูระส่ำระสาย มีแต่ข่าวลือ ข่าวไม่สู้ดี ฉันจึงคิดว่า วาทะธรรมที่มีความเข้าใจ ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างลึกซึ้ง จะเป็นที่ปลอบประโลมจิตใจ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ขอให้มีสติและทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด โดยอย่าละเสียซึ่งความเมตตา


แล้วจะเขียนมาอีกในเร็วๆ นี้ ฝากหอมแก้มนังหนู บอกว่าอย่าซนให้มากนัก ขึ้นลงบันได ระวังแข้งขาด้วย


กระถิน







วาทะธรรมของท่านพุทธทาส


จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า …
เขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา
เขาเป็นเพื่อนเวียนว่ายอยู่ในวัฎสงสารด้วยกันกะเรา
เขาก็ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลศเหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง
เขาก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา


เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพาน เหมือนเรา
เขาโง่ ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ
เขาก็ตามใจตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ
เขาก็อยากดีเหมือนเรา ที่อยากดี เด่น ดัง
เขาก็มักจะกอบโกย และเอาเปรียบเมื่อมีโอกาส เหมือนเรา


เขาก็มีสิทธิที่จะบ้าดี เมาดี หลงดี จมดี เหมือนเรา
เขาก็เป็นคนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่นอะไรต่างๆ เหมือนเรา
เขาไม่มีหน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตายแทนเรา
เขาเป็นเพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา
เขาก็ทำอะไร ด้วยความคิดชั่วแล่น และผลุนผลัน เหมือนเรา


เขามีหน้าที่รับผิดชอบ ต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจของเขา
เขามีสิทธิที่จะเลือก (แม้ศาสนา) ตามพอใจของเขา
เขามีสิทธิ ที่จะใช้สมบัติสาธารณะ เท่ากันกับเรา
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา


เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจ จากเรา
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัยจากเรา ตามควรแก่กรณี
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือเสรีนิยม ตามใจเขา
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น
เขามีสิทธิ แห่งมนุษยชน เท่ากันกับเรา สำหรับจะอยู่ในโลก


ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้น.