Skip to main content

ตรรกะของเจิมศักดิ์

คอลัมน์/ชุมชน

 สืบเนื่องจากที่นักวิชาการ 76 คนพากันลงชื่อในแถลงการณ์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ยังผลให้เกิดปฏิกิริยาจากนักวิชาการ และนักการเมืองฝ่ายรัฐประหารที่ต้องออกมาตอบโต้นักวิชาการทั้ง 76 คน

หนึ่งในนักวิชาการฝ่ายรัฐประหารคือ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งนอกจากจะเป็นนักวิชาการแล้ว ยังเป็นนักธุรกิจ นักการเมือง ผู้ดำเนินรายการ ฯลฯ เขานำเสนอตรรกะแปลกประหลาดเพื่อตอบโต้นักวิชาการที่พากันคว่ำร่างรัฐธรรมนูญว่า


"การที่ไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ด้วยข้ออ้างที่ว่า มีที่มาจากการรัฐประหาร มันก็เหมือนกับว่า มีผู้หญิงถูกข่มขืน มีลูกออกมา แล้วเราไม่ยอมรับว่าเด็กคนนั้นเป็นคนเหมือนเรา"


ไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อ ว่าดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้พูดอย่างที่ได้พูดไปแล้ว ไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อว่าดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หูหนวก ตาบอดแล้ว


การเปรียบเทียบของดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เรื่องรัฐธรรมนูญกับเด็กทารกนั้น น่าทุเรศเสียจนกลายเป็นความน่าขำ เพราะว่า


1. ลดทอนความซับซ้อนของการเมือง


รัฐธรรมนูญเป็นผลผลิตของรัฐประหาร กับทารกก็เป็นผลผลิตของหญิงที่ถูกข่มขืน ตรงนี้อาจคล้ายคลึงกัน แต่อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญถูกร่างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นกติกาปกครองคนทั้งประเทศในขณะที่เด็กทารกที่เกิดมาจากการถูกข่มขืนนั้นไม่รู้เดียงสาอะไรเลย


รัฐธรรมนูญถูกร่างขึ้นมาเพื่อรับใช้กลุ่มคนบางกลุ่มหรือมีคนบางกลุ่มเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหาร ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงเป็นเหมือนเครื่องมือสำหรับการสืบทอดอำนาจหรือการแสวงประโยชน์ หาใช่เป็นผลผลิตที่ไร้เดียงสาของรัฐประหารเท่านั้น หากแต่สามารถให้คุณและให้โทษอย่างใหญ่หลวงในอนาคต


รัฐธรรมนูญไม่ใช่สิ่งที่ไม่ประสีประสาน่าชังเหมือนเด็กทารก หากแต่รัฐธรรมนูญประกอบขึ้นด้วยอคติ เจตนารมย์ของผู้ร่าง ความพยายามของ น.. ประสงค์ สุ่นสิริ ที่จะเขียนระบุให้เทวดามาแก้ไขวิกฤติชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ คงไม่อาจมองรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งไร้เดียงสาแบบเดียว กับเด็กทารกได้อีกต่อไป


2. ที่มาของรัฐธรรมนูญและเด็กทารก


รัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหารมีที่มาจากฝ่ายที่ไปกระทำการข่มขืนคนอื่น ในขณะที่เด็กทารกนั้นเกิดมาจากท้องของหญิงซึ่งถูกข่มขืน นี่เป็นความแตกต่างประการสำคัญ


หญิงที่ถูกข่มขืนจนท้องไม่มีพ่อนั้นเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ เด็กที่เกิดมาไม่มีพ่อนั้นก็น่าเห็นใจด้วยเหมือนกัน ความน่ารักของทารกอาจช่วยเยียวยาบาดแผลจากการถูกข่มขืนของผู้เป็นแม่ได้หรือเป็นไปได้เหมือนกันว่า "มารหัวขน" ที่เกิดมาโดยที่ไม่มีใครตั้งใจให้เกิดนั้น อาจตอกย้ำบาดแผลของการถูกข่มขืนของผู้เป็นแม่ก็ได้


แต่รัฐธรรมนูญนั้นเกิดมาจากผู้ข่มขืน ไม่ใช่ผู้ถูกข่มขืน เกิดมาจากผู้ชายที่ไปข่มขืนผู้หญิง ไม่ได้เกิดมาจากท้องของผู้หญิงที่ถูกข่มขืน


ผู้กระทำการรัฐประหารข่มขืนใจประชาชนซึ่งใช้สิทธิ เสรีภาพตามหลักประชาธิปไตย แล้วจากนั้น ผู้ทำการรัฐประหารก็จัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นโดยอาศัยบรรดา "มือปืนรับจ้าง" ตามรั้วมหาวิทยาลัยหรือนักกฎหมายขาประจำ


รัฐธรรมนูญคงจะมีชอบธรรมกว่านี้แน่ หากรัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดมาจากการร่างของประชาชนผู้ถูกข่มขืนโดยที่คณะรัฐประหารไม่มาข้องเกี่ยวอะไรเลย


3. รัฐธรรมนูญเพื่อซักฟอกรัฐประหาร


อันที่จริงเป็นเรื่องน่าแปลก ที่คณะรัฐประหารอยากให้รับร่างรัฐธรรมนูญหลังจากที่ตนเองได้ฉีกรัฐธรรมนูญไปแล้วก่อนหน้านี้ การฉีกรัฐธรรมนูญอย่างง่ายดายแสดงถึงการไม่เห็นค่า ไม่เห็นความสำคัญของกฎเกณฑ์ กติกา


แต่นักวิชาการฝ่ายรัฐประหารพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ประชาชนผู้ถูกข่มขืน หรือเพื่อนนักวิชาการที่ร่วมลงชื่อคว่ำร่างรัฐธรรมนูญเห็นถึงความสำคัญ โดยยกสรรพคุณของรัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหารขึ้นมาอวดอ้างว่า


"ชุมชนและประชาชน ก็มีสิทธิในการยื่นฟ้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้มากขึ้น ถ้าพบว่ามีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สิทธิเสรีภาพที่มีอยู่เดิม ก็ยังคงมีการคุ้มครองทั้งหมด เรื่องเสรีภาพของสื่อก็มีการห้ามนักการเมืองเข้ามาเป็นเจ้าของสื่อ เพราะฉะนั้น รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่ให้ประชาชนเป็นฝ่ายนั่งดูอีกต่อไป แต่จะให้มีส่วนสำคัญในการปกครองบ้านเมืองมากขึ้น"


การพยายามผลักดันให้ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหาร เป็นการพยายามซักฟอกการกระทำของรัฐประหารซึ่งได้ทำลายระเบียบบ้านเมือง ก่อผลที่กระทบเลวร้ายต่อชีวิตคนจำนวนมาก "นวมทอง ไพรวัลย์" คือตัวอย่าง


หากรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหารนี้ ก็เท่ากับยอมรับว่าการข่มขืนที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด ไม่ต้องการมีการลงโทษ ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนแค่ซวยไปเท่านั้นเอง


ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ดิ้นรนทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญรัฐประหาร ตะแบงตรรกะทุเรศทุรังออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งนับว่าน่าเสียดายเมื่อนึกถึงคุณความดีที่เคยทำมา.


เมธัส บัวชุม