Skip to main content

โลกในตู้ปลา

คอลัมน์/ชุมชน

ตั้งแต่เล็กจนโต สัตว์เลี้ยงที่ผมคุ้นเคยมาตลอดมีอยู่ 2 ชนิด หนึ่ง คือนก สองคือ หมา ผมจำความได้ ก็เห็นที่บ้านเลี้ยงนกไว้หลายกรง ทั้งนกหงษ์หยก นกเขา นกเอี้ยง วันดีคืนดีก็มีนกฮูกตกลงมาจากต้นมะพร้าวหน้าบ้าน ก็เลยต้องเลี้ยงกันจนแข็งแรงถึงจะปล่อยไป พ่อเลี้ยงนกอยู่นานจนกระทั่งผมขึ้นชั้นประถมก็เลิกเลี้ยงไป มารู้สาเหตุตอนที่ผมโตแล้วว่าเป็นเพราะ พ่อกลัวว่า จะทำให้ลูกเป็นโรคภูมิแพ้และไข้สมองอักเสบ

หลังจากเลิกเลี้ยงนก พ่อก็เอาลูกหมาตัวหนึ่งมาเลี้ยง มันตัวสีดำสนิทนิสัยค่อนข้างซน เราตั้งชื่อมันว่า "ไอ้ไข่" แต่เราคงดูแลมันไม่ค่อยจะดีนัก มันเลยกลายเป็นหมากึ่งจรจัด คือบางทีก็หายไปเสียหลายวัน กลับมาก็มีแผลกัดกับตัวอื่นมา บางทีก็ไปเจอมันคุ้ยขยะกิน กระนั้น มันก็อยู่กับเราจนมันแก่ตายตอนที่ผมกำลังจะขึ้นชั้นมัธยม


จากนั้นมา ที่บ้านผมก็เลี้ยงหมาอีกหลายตัว โดยที่น้องชายเป็นคนดูแล น้องชายเป็นคนรักหมา แต่กว่าจะเรียนรู้ว่าควรจะดูแลมันอย่าง "เพื่อน" เขาก็สูญเสียหมาไปหลายตัว ผมเองเมื่อออกจากบ้าน ก็แทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงประเภทใดๆ อีกเป็นเวลานาน จนกระทั่งแต่งงานและย้ายมาอยู่ลำพูน ภรรยาก็ขอเลี้ยง "ปลาทอง" เพราะเธอบอกว่าเธออยากเลี้ยงมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสสักที แรกๆ ผมก็ลังเลเพราะไม่เคยเลี้ยง แต่เมื่อลองไปหาข้อมูล


ดูก็คิดว่าไม่น่าจะยากเกินไป เลยตัดสินใจลองดู


เราพากันไปเลือกดูปลาทองที่ขายที่ตลาดนัด แล้วก็ซื้อทั้งตู้ทั้งยา-อาหารและอุปกรณ์อื่นๆ มาพร้อมกัน คนขายก็แนะนำทุกขั้นตอนตั้งแต่ล้างตู้ ถ่ายน้ำ หยอดยา ฯลฯ พอกลับมาถึงบ้านก็ลงมือกันเลย ปลาทอง 2 ตัวแรกที่เลี้ยงนั้น ผมตั้งชื่อตัวผู้ว่า "มีโชค" ส่วนตัวเมียชื่อ "มีสุข"


มันเป็นปลาทองพันธุ์ฮอลันดา ครีบยาว ท่าทางแข็งแรง และซนเอาเรื่องทั้งสองตัว ชอบมุดท่ออากาศ ชอบดูดหินที่ปูไว้ก้นตู้ หนหนึ่งด้วยความซน มันไปดูดหินเล่นแต่ดันเป็นก้อนใหญ่ที่หลุดเข้าไปในปาก เลยคาปากคายไม่ออก ดีที่หันไปเห็นก่อนเลยช่วยไว้ทัน อีกหนหนึ่ง มันไปเล่นกับท่ออากาศท่าไหนไม่รู้ ทำให้ท่อหลุด ออกซิเจนไม่วิ่ง เจ้ามีสุขเลยลอยท้องป่องหายใจพะงาบๆ


ตั้งแต่นั้นมา เราก็ได้รู้ว่า เจ้ามีสุขอ่อนแอกว่าเจ้ามีโชค ต้องดูแลกันเป็นพิเศษหน่อย ยิ่งเลี้ยงไปก็ยิ่งเห็นว่า มีโชคผอมหัวโต แต่มีสุขอ้วนเอาๆ วันหนึ่งในฤดูหนาว หลังจากที่เราเลี้ยงมันมาได้ร่วมปี เจ้ามีโชคก็มีอาการจมไม่ลง ลอยคอตุ๊บป่องๆ ผมเลยจับมันแยกออกมาจากตู้ มันมีอาการอย่างนั้นคืนหนึ่ง เช้าวันต่อมามันก็ตาย เราเหลือแค่มีสุขอยู่ตัวเดียว ท่าทางมันคงจะเหงาเหมือนกัน เพราะไม่มีเพื่อนเล่น แต่มันก็กินก็นอนเป็นปกติ ระยะหลังๆ เราเพิ่งจะมาสังเกตุว่า มันเป็นปลาที่นอนได้นานอย่างเหลือเชื่อ มันนอนนิ่งๆ อยู่ได้เป็นวันๆ ให้อาหารมันก็ไม่กิน ทีแรกคิดว่ามันไม่สบายหรือเปล่า แต่พอเอากระชอนไปเขี่ยมันก็กลับว่ายน้ำเป็นปกติ นานๆ เข้าก็รู้ว่ามันเป็นปลาที่มีนิสัยประหลาดอย่างนี้เอง



นอกจากนั้น มันยังชอบว่ายน้ำแบบแปลกๆ คือบางครั้งมันชอบทำตัวตั้งฉากกับผิวน้ำแล้วก็หงายหลังก่อนจะพลิกกลับมาเป็นปกติ มันคงจะเล่นสนุกของมันตามประสาปลาที่อยู่ตัวเดียว หลายเดือนผ่านไป มันอ้วนเอาๆ จนตัวเกือบจะเท่าลูกเทนนิสอยู่แล้ว เราจึงตกลงใจเปลี่ยนตู้จากเดิมขนาด 14 นิ้วเป็นขนาด 20 นิ้ว ภรรยาผมก็ปรารภว่า ตู้ขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว น่าจะซื้อปลามาเพิ่มในวันหยุดวันหนึ่ง เราจึงไปที่ตลาดนัดที่เดิม ก็ไปเจอกับปลาทองสิงห์ญี่ปุ่น ขนาดพอๆ กับเจ้ามีโชคมีสุขที่ซื้อมาตอนแรก ปลาทองพันธุ์นี้จะแตกต่างจากพันธุ์ฮอลันดาตรงที่ไม่มีครีบหลัง และครีบข้าง ครีบหางจะไม่แผ่พลิ้วเท่า แต่มันก็น่ารักไปอีกแบบ เราตกลงซื้อมาอีก 2 ตัว ตัวสีเงินก็ตั้งชื่อว่า "ถุงเงิน" อีกตัวสีทองก็ตั้งชื่อว่า "ถุงทอง"


เจ้าถุงเงินถุงทองอยู่ร่วมกับมีสุขเป็นอย่างดี เราคิดว่ามันคงจะไม่เหงาแล้ว และคิดว่า ปลาสามตัวในตู้ปลาก็คงจะพอ ไม่อยากให้แน่นเกินไป แต่ไม่นานนัก เราก็ไปเจอเข้ากับ ปลาสิงห์ดำตามิด ซึ่งเป็นปลาทองพันธุ์ที่เพาะได้เฉพาะในเมืองไทย มันรูปร่างเหมือนสิงห์ญี่ปุ่นแต่ตัวดำสนิทไปทั้งตัว ถ้าเลี้ยงจนโตวุ้นสีดำจะปิดจนไม่เห็นลูกตา จึงได้ชื่อว่าสิงห์ดำตามิด เราเลือกเอาเจ้าลูกปลาสิงห์ดำฯ ตัวหนึ่งมา มันตัวเล็กเท่าลูกชิ้น อ้วน กลม แต่ปราดเปรียว ที่สำคัญหางมันมีสามแฉกเหมือนเครื่องบิน ไม่เหมือนกับปลาทั่วไป เราตั้งชื่อมันว่า "ไอ้หอย"



เมื่อมีปลา 4 ตัว 3 ขนาดมาอยู่รวมกันในตู้ปลาขนาด 20 นิ้ว มันก็ดูสวยดี แต่ปัญหาที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะปลาขนาดเล็กมักจะไวกว่าปลาขนาดใหญ่ เวลาที่ให้อาหาร เจ้ามีสุขมักจะช้า ไม่ทันเจ้าตัวเล็กทั้งสาม มันจึงได้แต่เขี่ยหินหาเศษอาหารที่ก้นตู้ เราสังเกตุว่ามันซึมลงไป ตอนแรกคิดว่าคงเป็นปกติของมัน จนกระทั่งมาเห็นแผลเหวอะหวะที่ท้องของมัน จึงคิดได้ว่า คงเป็นเพราะมันต้องคอยเขี่ยหาเศษอาหารตามก้นตู้ อีกทั้งมันชอบนอนนิ่งๆ เป็นเวลานาน มันจึงกลายเป็นแผลกดทับ


เราช่วยอะไรมันไม่ได้มากกว่าแยกมันออกมัน ให้ยาและหวังว่ามันอาจจะหายดี แต่ก็อีกนั่นแหละ เราก็รู้ดีอยู่แล้วว่า ปลาทองไม่ใช่สัตว์แข็งแรงอะไรมากมาย เมื่อเป็นโรคหรือบาดเจ็บ ก็มักจะตายได้ง่ายๆ เจ้ามีสุขซึ่งอยู่กับเรามานานร่วมสองปี ตัวโตเกือบเท่าลูกเทนนิสก็ตายในอีกเช้าวันต่อมา


ผมคิดว่า คนเลี้ยงสัตว์ก็ต้องทำใจกันทุกคน โดยเฉพาะสัตว์น้ำซึ่งไม่อาจสัมผัสเล่นได้แบบหมาแมว เป็นอะไรขึ้นมา จะพาไปหาสัตว์แพทย์ก็ลำบาก เป็นโรคอะไรหน่อยก็มีสิทธิ์ไปมากกว่าอยู่ แต่ความสุขของการเลี้ยงปลาก็คือการได้นั่งมองดูมันว่ายไปว่ายมานี่ละครับ ฝรั่งเองเขายังวิจัยออกมาแล้วว่า การนั่งมองปลาว่ายไปมาจะช่วยลดความเครียดได้มากกว่าการนั่งดูทีวีเสียอีก แม้ว่าจะต้องดูแลเอาใจใส่เรื่องการเปลี่ยนถ่ายน้ำ และเรื่องอาหาร แต่มันก็ราคาถูกมากๆ เมื่อเทียบกับราคาอาหารหมาหรืออาหารแมว บางที ผมเขียนหนังสือไม่ออก มานั่งมองมันว่ายไปว่ายมาก็ทำให้สมองโล่งดีเหมือนกัน


ปลาทองมีความสวยงาม มีความอิสระในการเคลื่อนไหว แม้มันจะเป็นเพียงแค่อิสระแคบๆ ในตู้กระจกขนาด 20 นิ้วก็ตาม ปลาทองนั้นเกิดมาเพื่อจะอยู่ในตู้เท่านั้น มันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติได้ (หรืออยู่ได้ก็คงได้ไม่นาน) มันเกิดในบ่อ และตายในตู้ ทั้งชีวิตต้องรอคอยการให้อาหารจากคนเลี้ยง บางครั้งผมก็นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเราเป็นเหมือนปลาทอง เหาะได้ในอากาศ แต่ถูกขังให้อยู่แต่ในห้องนอน และไม่อาจมีชีวิตอยู่ภายนอกห้องได้ ต้องรอคอยแต่อาหารที่คนอื่นเอามาให้ มันจะเป็นยังไง? แน่นอน ถ้าคิดตามตรรกะทั่วไป ซึ่งว่าด้วยเสรีภาพเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์แล้ว มันต้องไม่ใช่ชีวิตที่ใครๆ ปรารถนา แต่หากมองว่า ตั้งแต่เกิดจนตายเรามีชีวิตอยู่อย่างนั้น มันก็อาจมีความสุขแบบปลาทองๆ ดีเหมือนกัน


มีอิสระในโลกแคบๆ ของตัวเอง ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวภายนอก ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อเสรีภาพใดๆ มีชีวิตอยู่อย่างไม่ตั้งคำถามต่อชีวิต ให้ทุกๆ อย่างมันดำเนินไปตามครรลองของมัน


คิดไปคิดมาก็นึกขำ มันคล้ายๆ กับชีวิตที่ผมปรารถนาเหมือนกันนะ