วุฒิสภาในปีที่ห้า
คอลัมน์/ชุมชน
ในที่สุดวุฒิสภาชุดแรกที่มาจากการเลือกตั้งก็ได้มาอยู่ในปีที่ห้าของการทำงาน ซึ่งได้ทำหน้าที่ครบทั้งสี่ประการคือ กลั่นกรองกฎหมาย ควบคุมการทำงานของรัฐบาล แต่งตั้งบุคคลในองค์กรอิสระ และถอดถอนบุคคลทางการเมือง |
ในตอนเริ่มต้นปีที่ห้านั้น คาดว่าเราคงจะทำงานได้แค่สามประการ เพราะการถอดถอนบุคลากรทางการเมืองคงทำได้ยาก เพราะหลักฐานที่จะเอาความผิดทางการเมืองทำได้ยาก เพราะต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ต้องให้ ป.ป.ช.เป็นผู้ตรวจสอบหามูลความผิด |
คือ ส.ว. เสมือนเป็นด่านสุดท้ายในการลงมติถอดถอน ถ้า ป.ป.ช.ลงมติว่าบุคคลใดในทางการเมืองหรือตำแหน่งสูงในการบริหารงานราชการว่าไม่มีมูลความผิด การลงมติถอดถอนก็ไม่มี พูดง่าย ๆ ก็คือ ส.ว. เราชงเองกินเองไม่ได้ |
ปรากฏว่า มีปรากฏการณ์ครั้งแรกในเมืองไทยที่ ส.ว.ร่วมกับ ส.ส.ลงชื่อให้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถอดถอนกรรมการป.ป.ช. โดยตั้งข้อหาว่าประพฤติมิชอบ โดยเพิ่มค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนให้กับตัวเอง ! |
ขณะนี้ ป.ป.ช.เองก็แก้เกมด้วยการยื่นให้ ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความว่า การขึ้นค่าตอบแทน (เงินเดือน) ให้ตัวเองนั้นทำได้ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ |
ขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็รับเรื่องไว้ แต่ยังไม่ลงมติว่าจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวหรือไม่ เพราะไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มีความขัดแย้งขององค์กร หรือว่าเป็นการตรวจสอบการให้อำนาจของคณะกรรมการป.ป.ช. จากทาง ส.ว. |
ก็ต้องรอว่าระหว่างศาลรัฐธรรมนูญ กับศาลฎีกาคดีอาญาฯ ใครจะพิจารณาก่อน ถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา ถือว่าขบวนการถอดถอนจะมีปัญหาทันที และต่อไปจะเป็นช่องทางในการหลบหลีกการตรวจสอบจากรัฐสภา ซึ่งถือได้ว่าเป็นวิกฤติแห่งรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญต้องการให้มีการตรวจสอบคานอำนาจซึ่งกันและกัน ถ้าการตรวจสอบทำไม่ได้ แสดงว่าต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ให้มีช่องโหว่ของกฎหมาย |
สื่อมวลชนได้วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า งานนี้เสมือนเขี้ยวเจอกับงา ! เพราะต่างองค์กรต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ต้องตรวจสอบซึ่งกันและกัน |
ขอให้พวกเราติดตามดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะจะได้เห็นประชาธิปไตย ซึ่งเราเป็นผู้แสวงหามาอย่างยากเย็น คงจำกันได้ว่า ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เราได้เกิดวันมหาวิปโยค นิสิตนักศึกษา ประชาชน ต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย |
และเราก็ได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตย เรามีการเลือกตั้งที่ประชาชน มีสิทธิเท่าเทียมกันในการเลือกตั้ง เรามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรามีสมาชิกวุฒิสภา ให้เป็นตัวแทนเป็นปากเป็นเสียงให้ในรัฐสภา |
ซึ่งกระบวนการได้มาซึ่ง การปกครองในระบบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสูง สุด นั้น เป็นกระบวนการที่พัฒนามายาวนาน ยิ่งกว่าหลายประเทศในเอเซีย เราสามารถวิจารณ์รัฐบาลได้ หนังสือออกมาวิจารณ์นายกรัฐมนตรีได้ เราเห็นหนังสือแนวรู้ทันทักษิณตามแผงเยอะ โดยฝ่ายบริหารไม่มาเก็บ |
ถ้าเป็นประเทศเผด็จการอื่น ๆ จะไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ เราได้เห็นการวิจารณ์การอภิปรายในรัฐสภา เราได้ฟังการตั้งกระทู้ให้รัฐมนตรีมาตอบในสภาทุกสัปดาห์ ต่างชาติหลายประเทศยังชื่นชมกับประชาธิปไตยในเมืองไทย แต่ที่เราไม่ได้เห็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตร ีนั้น เพราะรัฐธรรมนูญไปเขียนไว้ว่า ถ้าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีต้องใช้ ส.ส. ๒๐๐ คน เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องใช้แบบเดิมไปก่อน |
นี่ก็จะถึงการเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ ๑๓ เดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้าแล้ว ประชาชนก็ได้มีสิทธิ์อีกครั้งหนึ่งในการไปลงคะแนนเลือกผู้แทนราษฎร ตอนนี้ท่านอยากรู้อะไร ก็ให้ถามพรรคการเมืองได้เลยว่าแต่ละพรรคมีนโยบายอย่างไร |
มีนโยบายในการแก้ปัญหาการศึกษาของชาติอย่างไร นโยบายในการแก้ปัญหาด้านสาธารณสุขอย่างไร จะมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือไม่ จะมีคาสิโนหรือไม่ สงสัยว่านโยบายในเรื่องต่าง ๆ จะเป็นอย่างไรก็ต้องตั้งคำถามหัวหน้าพรรคการเมืองตอนแถลงนโยบาย แล้วเราจะได้ฟังคำมั่นสัญญา ที่ให้ไว้กับประชาชน |
แล้วอีกหนึ่งปีที่เหลือในวุฒิสภา เราสมาชิกวุฒิสภาก็จะเป็นฝ่ายตรวจสอบ การบริหารงานของรัฐบาลหน้าอีกหนึ่งปีเต็ม เพื่อให้แน่ใจว่าเขาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ไม่ว่าพรรคใดจะได้เป็นฝ่ายบริหารเราก็จะทำหน้าที่ตรวจสอบให้ท่าน |
ซึ่งท่านจะได้สบายใจว่า ส.ว.ชุดแรกที่มาจากการเลือกตั้งทำงานให้ท่านสมกับที่ท่านไปลงคะแนนให้เมื่อหกปีก่อน ! |