Skip to main content

เพลงเตหน่ากู : ตอนกำเนิดชื่อ เตหน่ากู

คอลัมน์/ชุมชน


หลังจากพิธีมัดมือเสร็จสิ้นลง ชาวบ้านชาวเมืองต่างอิ่มเอิบใจและรู้สึกสบายอุ่นใจมั่นใจกับพิธีกรรมของชุมชนที่ผ่านพ้นไป โดยที่ต่างรอดูเหตุการณ์ในเมืองที่จะเกิดขึ้นต่อไปในวันพรุ่ง


เด็กกำพร้าจะได้ครองเมืองครึ่งหนึ่ง และจะได้ลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าเมืองไปเป็นภรรยา น่าอิจฉาไว้ย!! วาสนาคนเรานี่!
หนุ่มๆ ในเมืองต่างพร่ำพรูความรู้สึก


ฝ่ายเจ้าเมือง กำลังแสวงหาช่องทางบางอย่างที่จะไม่ให้เด็กกำพร้า ได้ครองเมืองครึ่งหนึ่งและแต่งงานกับลูกสาวของตน แต่เมื่อเป็นเจ้าเมืองพูดแล้วต้องไม่คืนคำ จึงจำเป็นต้องทำตามสัญญา
เราต้องหาวิธีเจ้าเล่ห์ แต่ชอบธรรมที่สุด เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเอาเปรียบรังแกคนอื่น เจ้าเมืองคิดในใจ และนอนคิดต่ออีกทั้งคืนเพื่อที่จะไม่ต้องเสียเมืองและลูกสาวให้เด็กกำพร้า


วันรุ่งเช้า ผู้คนในเมืองคอยฟังเสียงสัญญาณบางอย่างจากบ้านเจ้าเมือง จนแดดของยามเช้าเริ่มแรงขึ้น
โกล๊ะๆๆๆๆ โกล๊ะๆๆๆๆ โกล๊ะๆๆๆๆ เสียงเกราะเรียกที่บ้านเจ้าเมือง


ณ บ้านเจ้าเมือง ชาวเมืองทั้งลูกเล็กเด็กแดงแม่แก่พ่อเฒ่า แม่บ้านพ่อบ้าน ต่างมาฟังคำแถลงอะไรบางอย่างจากเจ้าเมืองและชาวเมืองส่วนหนึ่งอยากชมเครื่องดนตรีที่โค้งของเด็กกำพร้าที่สามารถปลุกลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าเมืองตื่นขึ้นมาจากหลับใหลได้


วันนี้ ข้าในฐานะเจ้าเมืองผู้รักษาสัจจะ ข้าจะยกเมืองครึ่งหนึ่งและลูกสาวคนสุดท้องของข้าให้เด็กกำพร้าตามสัญญา แต่ข้ามีข้อแม้คือ หากภายในสามปี บ้านเมืองของเด็กกำพร้าไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าเมืองของข้า ข้าจะยึดเอาเมืองคืน

เจ้าเมืองพูดขึ้นในขณะที่ดวงตาโบ๋ลึกเหมือนคนอดนอนมาทั้งคืน

เจริญยังไงครับท่าน!

ชาวเมืองคนหนึ่งถามเจ้าเมือง
เจริญรุ่งเรืองคือ ข้าวปลาอาหารเพียงพอหรือไม่ จำนวนชาวเมืองเท่ากับของข้าหรือไม่ อยู่ดีกินดีหรือไม่ เจ้าเมืองตอบเหมือนเตรียมคำตอบไว้เป็นอย่างดี
ช้าก่อนครับท่านเจ้าเมือง เสียงเด็กกำพร้าพูดแทรกขึ้นมา
เจ้าต้องการอะไรอีก หรือเจ้าจะเอาเมียข้าไปเพิ่มอีกคน? จะมากไปละมั้ง!! เจ้าพูดอย่างมีอารมณ์

มิใช่เช่นนั้นครับ คือข้าพเจ้าไม่ต้องการจะครองเมืองของท่านหรอกครับ ถ้าหากท่านเป็นกษัตริย์ผู้รักษาสัจจะจริง ข้าพเจ้าขอเพียงพื้นที่ที่เป็นภูเขา ป่าเขา ลำเนาไพร ขุนห้วย ขุนเขา เพียงแค่ครึ่งเดียวที่ท่านมีอยู่ก็พอแล้ว และข้าพเจ้าต้องการเพียงชาวเมืองที่เป็นหนุ่มโสดสามสิบคน และสาวโสดสามสิบคนเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่ต้องการที่จะเอาคนครึ่งหนึ่งของท่าน อ้อ.....อย่าลืมลูกสาวคนสุดท้องของท่านตามสัญญานะครับ

เด็กกำพร้าพูดพร้อมกับอมยิ้ม และเหล่สายตาไปยังลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าเมือง อย่างมีอาการทะลึ่งนิด ๆ

เจ้าแน่ใจนะ ว่าเจ้าต้องการเพียงแค่นี้

เจ้าเมืองถามย้อนย้ำอีกที
ข้าพเจ้าขอตอบเป็นคำตอบสุดท้ายครับ เด็กกำพร้าตอบอย่างมั่นใจ

ไอ้งั่งเอ้ย เขาจะให้ครองเมืองตั้งครึ่งหนึ่ง ดันจะเอาแค่พื้นที่ป่าเขา ลำเนาไพรที่เป็นขุนห้วยขุนเขา อุตส่าห์ลุ้นช่วย

ชาวเมืองคนหนึ่งระบายความผิดหวังต่อตัวเด็กกำพร้าออกมา

เอาละ เอาละ ถ้าเช่นนั้นทุกคนจงเป็นพยาน นี่เป็นความต้องการของเจ้าเด็กกำพร้าเอง ข้าก็จะสนองตอบความต้องการของมัน แต่ข้ายังมีข้อแม้เหมือนเดิมคือ เมื่อผ่านไปสามปีแล้ว บ้านเมืองของเจ้าไม่เจริญรุ่งเรือง ข้าจะยึดเมืองคืนมาเป็นของข้าเหมือนเดิม

เจ้าเมืองพูดด้วยสีหน้าอมยิ้มอย่างมีเลศนัย เหมือนคนกำไพ่ที่เหนือกว่า

หลังเสร็จสิ้นการประชุม เจ้าเมืองกำพร้าเตรียมตัวออกเดินทาง แต่ชาวบ้าน ชาวเมือง ต่างขอร้องให้เจ้าเมืองกำพร้าช่วยเล่นเครื่องดนตรีชิ้นนั้นอีกครั้ง ขณะที่เจ้าเมืองกำพร้าเองไม่ขัดศรัทธาต่อชาวบ้านชาวเมือง นั่งบรรเลงเพลงเครื่องดนตรีโค้งงอตัวนั้นอีกบทเพลงหนึ่งจนจบ


เครื่องดนตรีตัวนี้ เรียกชื่อว่าอะไรครับ ท่านเจ้าเมืองกำพร้า

ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้
ข้าจะเรียกมันว่า เดนาเส่เกะกู เจ้าเมืองกำพร้าบอกชื่อเครื่องดนตรี ซึ่งเดนาเส่เกะกู แปลว่า ดีดเธอไม้ที่โค้งงอ
ชื่อยาวจัง ขอชื่อสั้น ๆ ไม่มีเหรอ หนุ่มทะลึ่งคนหนึ่งถามขึ้นมา
เรียกมันว่า เดนาเกะกู หรือ เดนากู ก็ได้ สั้นและได้ใจความดี เจ้าเมืองกำพร้าตอบทีเล่นทีจริง
เรียกว่า เดนา เฉย ๆ ได้ไหมครับ หนุ่มคนเดิมถามอีกครั้ง จนเรียกเสียงฮาจากชาวบ้านชาวเมือง
แล้วแต่จะเรียกแล้วกัน แต่ขอให้มีความหมายเป็นภาษาปวาเก่อญอก็พอ ข้าไปละ เจ้าเมืองกำพร้าลุกขึ้น พาลูกเมือง ทั้งสาวโสดสามสิบ และ หนุ่มโสดสามสิบ พร้อมภรรยาซึ่งเป็นลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าเมืองออกเดินทาง โดยที่เจ้าเมืองกำพร้าไม่ลืมที่จะหอบหิ้วเครื่องดนตรีที่โค้งงอ ติดตัวอย่างแนบชิดไปด้วย

หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ชาวเมืองต่างร่ำลือถึงความมหัศจรรย์ ความงดงามและไพเราะของเครื่องดนตรีของเจ้าเมืองกำพร้า ชาวบ้านบางคนเรียกมันว่า เดนาเส่เกะกู บางคนเรียก เดนาเกะกู บางคนเรียกเดนากู พวกที่ทะลึ่งหน่อยเรียกเดนา


จากคำเรียกต่างๆ นานา ผ่านปากคนหนึ่งไปยังลิ้นอีกคน จากเสียงหนึ่งไปยังอีกสำเนียงหนึ่ง จนคำเพี้ยนไปจากคำเดิม จากคำว่าเดนาเกะกูพี่น้องที่เป็นกะเหรี่ยงจอว์เรียกเป็น เตหน่าบ้าง เตหน่ากูบ้างหรือ เตหน่าเกะกูบ้าง และจากคำว่าเดนานี้เองพี่น้องที่เป็นกะเหรี่ยงโพล่งเรียกเป็น นาเด ถ้าเปลเป็นภาษาของจอว์แปลว่าเธอเล่น ซึ่งเธอทุกก็เล่นได้และควรเล่นเป็นอย่างยิ่ง


ณ ภูลึก ลำธารใส ป่าเขียวเข้มทะมึนคือเมืองใหม่ของเจ้าเมืองกำพร้า ทั้งเจ้าเมืองและชาวเมืองต่างทำไร่หมุนเวียนเลี้ยงชีพ ปลูกข้าว ถั่ว เผือก ฟัก แฟง แตง หอมต่างๆอย่างพอเพียง พอสุขและพอใจ


อีกฟากหนึ่งของเมืองเด็กกำพร้า มองออกไปไกลสุดตาคือเมืองของพ่อตาเจ้าเมืองกำพร้า

นี่มันครบสามรอบฤดูแล้วนี่ ถึงเวลาแล้ว!! พ่อตาเด็กกำพร้าคิดในใจ ขณะที่ไฟปรารถนาแห่งการยึดเมืองคืนยังมีอยู่เต็มเปี่ยม

ไปบอกให้เขาเอาอาหารที่อร่อยที่สุดในบ้านเมืองของเขามา ถ้าอาหารนั้นมันสามารถยั่วจนน้ำลายข้าไหลได้จนข้ากลืนน้ำลายครบสามครั้ง ข้าจะยอมให้เมืองเขาเป็นอิสระ หากมิเป็นเช่นนั้นเมืองของเขาต้องเป็นของข้า

พ่อตาถ่ายทอดคำสั่งให้ลูกน้องไปส่งข่าวความต้องการของตนถึงเจ้าเมืองกำพร้า

เมื่อชาวเมืองทั้งสองเมืองรู้ข่าวต่างมีความเห็นแตกต่างเป็นสองฝ่าย

ฉันว่าก็ดีนะ จะได้รู้ว่าเมืองของเด็กกำพร้าอะไรดี ถ้าไม่มีอะไรดีก็ควรตกเป็นเมืองของพ่อตาเขา ความเห็นของฝ่ายแรก

ฉันว่าเจ้าเมืองทำไม่ถูก อาหารดีๆ เจ้าเมืองเคยกินมาหมดแล้ว จะไปหาอาหารอะไรอีกที่มันจะยั่วให้เจ้าเมืองน้ำลายหก เจ้าเมืองต้องการยึดเมืองชัดๆ เจ้าเมืองไม่ยุติธรรม

ความเห็นของฝ่ายที่สอง
ใช่ ใช่ ผู้ที่เห็นด้วยกับฝ่ายสองสนับสนุน

บรรยากาศของชาวบ้านชาวเมืองภายในทั้งสองเมืองเริ่มมีความแบ่งแยกเป็นสองขั้วชัดเจนและรุนแรงขึ้นตามลำดับจนถึงขั้นเกือบเป็นจลจลย่อยเกิดขึ้นภายในเมืองทั้งสอง


ก่อนจะถึงเวลานัดหมาย พ่อตาเด็กกำพร้าได้กินไก่ต้มหมดหนึ่งตัว หมูตุ๋นหมดไปหนึ่งจานพร้อมผลหมากรากไม้ต่างๆ จนอิ่มท้อง ไม่อยากทานอะไรอีก ดูอาหารอะไรแล้วเลี่ยนไปหมด แล้วจึงเดินออกไปหาเจ้าเมืองกำพร้า


ชาวบ้านทั้งสองเมืองต่างมาร่วมดูกันเต็มบริเวณบ้านเจ้าเมืองซึ่งเป็นพ่อตาของเด็กกำพร้า โดยยืนแยกกันเป็นสองกลุ่มใหญ่ตามความเห็นที่แตกต่างกัน


ไหน จะเอาอาหารอะไร ที่มายั่วต่อมน้ำลายอันมีเกียรติของข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า..

เจ้าเมืองชายสายตาไปที่เด็กกำพร้าพร้อมลูบปากที่มีเศษอาหารติดอย่างเยาะเย้ย

เด็กกำพร้าพยักหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องนำน่องไก่ทอดขึ้นมา แล้วลูกน้องกินน่องไก่นั้นอย่างเอร็ดอร่อย ชาวบ้านต่างกลืนน้ำลายด้วยความอยาก

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไอ้น่องไก่ ข้าเพิ่งกินเมื่อกี้เนี้ยะ..ยั่วข้าไม่ได้หรอก เฮ้อ!! เจ้าเมืองทำปากเบ้เชิงดูถูก

เด็กกำพร้าให้ลูกน้องหยิบขาหมูข้นมาทานต่อ แต่เจ้าเมืองรู้สึกเฉยๆ หยิบเนื้อเก้งมากินก็เฉยๆ เอาลาบกลางมากินก็ยังเฉยๆ เอาน้ำผึ้งมาดื่มก็ยังเฉยๆ เอาตำน้ำพริกมากินก็อย่างเฉย จนชาวเมืองที่ลุ้นช่วยเด็กกำพร้าต่างเริ่มท้อ


เฮ้อ..มีแค่นี้เองเหรอยั่วต่อมน้ำลายข้าไม่ได้เหรอก กลับไปเตรียมชาวเมืองของเจ้าให้มาเป็นชาวเมืองของข้าเสียดีๆ รวมทั้งตัวเจ้าด้วย ฮ่า ฮ่า เอี้ยว!!

เจ้าเมืองกระแทกเสียงหัวเราะอย่างสะใจ
ช้าก่อนครับท่าน ข้าพเจ้ายังมีอีกอย่างหนึ่งครับ เด็กกำพร้าพูดพร้อมหยิบมะม่วงเขียวดิบแก่ลูกหนึ่งแล้วยิ้มนิดๆ
อะไรอีก อิแค่มะม่วงเนี่ยนะ! ไม่มีประโยชน์หรอก ยอมเสียเถอะ เจ้าเมืองส่งสายตาไปยังกองเชียร์ของตน เสียงหัวเราะเยาะของฝ่ายเจ้าเมืองดังกระหึ่มบ้าน ทำให้เด็กกำพร้าเริ่มไม่มั่นใจ แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ

เด็กกำพร้าหยิบมะม่วงมางาบหนึ่งทีอย่างสุดแรง

ซิ๊ดดดดดดดด เด็กกำพร้าทำเสียงซิ๊ดและทำหน้าบูดหน้าเบี้ยวแสดงอาการเปรี้ยว จนเจ้าเมืองลืมตัวกลืนน้ำลายหนึ่งที ชาวบ้านส่งเสียงนับหนึ่งพร้อมกัน

เด็กกำพร้าหยิบชิ้นมะม่วงดิบแก่ มาเคี้ยวอีกที

จ๊วบ.บ.บจ๊วบ.บซิ๊ด.ด.ด.ดๆ เด็กกำพร้าทำหน้าบูดเบี้ยวดวยความเปรี้ยวพร้อมเขี้ยวอย่างเมามัน
เอื๊อ.อ.ก มันเปรี้ยวขนาดนั้นเลยเหรอ? เจ้าเมืองกลืนน้ำลายและถามเด็กกำพร้าขณะที่ชาวบ้านส่งเสียงนับสองพร้อมกัน

มันเป็นมะม่วงป่า ถ้ายังไม่สูกมันเปรี้ยวมาก...ปรุ! ปรุ! ซิ๊ด.ซ.ซ..

เสียงเคี้ยวมะม่วงพร้องทำหน้าบูดเบี้ยวแสดงอาการเปรี้ยวอย่างที่สุดของเด็กกำพร้า
ไหน...ข้าลองชิมบ้างซิ ถ้าไม่เปรี้ยวข้าจะฆ่าเจ้า เอื๊อ.อ.ก เจ้าเมืองขอเด็กกำพร้าชิมมะม่วงและเผลอลืมตัวกลืนน้ำลายอีกครั้ง
สาม ชาวต่างส่งเสียงนับ

กว่าจะรู้ตัวว่ากลืนน้ำลายครบสามครั้งก็สายไปแล้ว

ไหนๆก็ ไหนๆ ปรุ! ปรุ! ปรุ! ซู๊.....ดด โอ้ โห!! เปรี้ยวจริงๆ ยอมๆๆๆ เจ้าเมืองทั้งชิมทั้งชมและยอมอย่างไม่อาย

ขณะที่บรรยากาศของกลุ่มชาวบ้านชาวเมืองที่มีความเห็นแตกต่างทั้งสองฝ่ายนั้นดำเนินไป

ว่าแล้วเด็กกำพร้าต้องชนะ คนดีย่อมได้รับการคุ้มครองจากพระ เฮๆๆๆๆๆ ชาวบ้านที่เข้าข้างเด็กกำพร้าส่งเสียงขึ้นมา

เจ้าเมืองของเราก็เป็นคนดีโว้ย! ถ้าไม่อยากอยู่เมืองนี้ก็ไปอยู่เมืองไอ้เจ้าเมืองกำพร้าไป ป๊าย!!

อีกฝ่ายเริ่มไม่พอใจระเบิดอารมณ์ขับไล่ไสส่งกัน


หยุดก่อน น้องพี่ทั้งหลาย เราคือพี่น้องกัน ถ้าพี่ล้มน้องช่วยดึงขึ้น ถ้าน้องล้มพี่ช่วยดึงขึ้น ไม่ว่าจะอยู่เมืองพ่อหรือเมืองลูก ไม่ว่าจะเป็นโพล่งหรือจอว์เราคือสายเลือดเดียวกัน อย่าเกลียดชังสายเลือดเดียวกัน อย่าทำลายสายเลือดเดียวกัน

เด็กกำพร้าพูดจบหยิบเตหน่ากูออกมาบรรเลงบทอื่อธา

ดอ ปื่อ แหว่ ชอ ฮี่ เหม่ เซ ฮี่ ชิ หนะ เก โดะ ธ่อ เซ
ดอ ปื่อ แหว่ ชอ ฮี่ เต่อ เซ ฮี่ โดะ หนะ เก ลอ พะ เซ
เหล่าน้องพี่ประคองหมู่บ้าน แม้หมู่บ้านเล็กจะมีพลัง
หากน้องพี่ขาดการประคอง หมู่บ้านต้องมีวันล่มสลาย


เมื่อฟังคำเด็กกำพร้าเสร็จชาวบ้านจึงได้สติคืนมาและเมืองสองเมืองก็กลายเป็นเมืองน้องเมืองพี่ เมืองลูกเมืองพ่อ แม้ว่าเด็กกำพร้าจะถูกเชิญให้ไปเป็นเจ้าทั้งสองสองเมือแต่เขาก็ตัดสินใจอยู่กลางป่าเขาพึ่งพาอาศัยป่า ทำไร่หมุนเวียน และเล่นเตหน่ากูขับกล่อมชาวไพร


เล เล โพ แค โอะ เลอ ธี ลอ ชู เล เล เลอ ธี ลอ ชู
เด ธ่อ เต หน่า ปลี เลอ ทู เด เส่อ ยือ เด เส่อ ยือ ธี ลอ กอ ปู
เล เล โพ แค โอะ เลอ ธี ลอ จอ เล เล เลอ ธี ลอ จอ
เด ธ่อ เต หน่า ปลี เลอ ชอ เด เส่อ ยือ เด เส่อ ยือ เก โปว์ เดอ จอว์
เล เล กำพร้าอยู่ที่ห้วยน้ำตก กำพร้าอยู่ที่ห้วยน้ำตก
บรรเลงเตหน่ากูสายทองคำ ขับกล่อมบ้านเมืองให้ร่มเย็น
เล เล กำพร้าอยู่ที่ห้วยน้ำหยด กำพร้าอยู่ที่ห้วยน้ำหยด
บรรเลงเตหน่ากูสายรากไม้ ขับกล่อมทั้งโพล่งและจอว์