บัวสีเทา : เริ่มต้นตอนจบ
คอลัมน์/ชุมชน
กลับเชียงใหม่
แสงแดดช่วงบ่ายส่งอากาศร้อนอบอ้าวแผ่รัศมีเข้ามาให้ห้องนอนชั้นสองของตึกแถว
ผมกำลังขะมักเขม้นกับการจัดเก็บข้าวของเพื่อเดินทางกลับเชียงใหม่ ภายหลังจากที่ต้องรอนแรมมาอยู่กรุงเทพฯ นานหลายเดือน เพื่อรายงานตัวและสอบชิงทุนการศึกษาไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ หลังจากที่ตัวเองต้องหยุดเรียนนานกว่า 3 ปี
วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขมาก เพราะจะได้เดินทางกลับเชียงใหม่ ได้พบกับเพื่อนๆ ที่เคยได้ร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วยกันมา - เมื่อตอนที่ต้องเดินทางออกจากบ้านเมื่อ 3 ปีก่อน แล้วมาหางานทำที่เชียงใหม่ มีเพื่อนๆ หลายคนที่สนิทกัน เช่น พี่บัว พี่เหน่ง เต้ย ทั้งสามคนถือว่าเป็นเพื่อนที่เจอกันตอนอยู่เชียงใหม่และคนที่ผมสนิทใจมากกว่าคนอื่นคือ "บัว"
พี่บัวเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่มีอายุห่างจากผม 3 ปี แรกๆ ที่รู้จักกันผมเรียกเขาว่า "พี่บัว" พอนานๆ ไป ก็เรียก "บัว" เฉยๆ หรือบางครั้งก็เรียก "ไอ้บัว" ตามแต่สภาพอารมณ์และปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย
การเดินทางกลับเชียงใหม่ครั้งนี้ ผมรู้สึกตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้พบกับบัวและเพื่อนๆ คนอื่นๆ เราทั้งหมดนัดกันว่า ถ้าผมกลับจากกรุงเทพฯแล้ว จะพากันไปฉลองที่ร้านประจำที่พวกเราชอบไปกัน
รอยยิ้มของเด็กน้อย
พลบค่ำ, วันที่ผมต้องเดินทางกลับเชียงใหม่ ภายหลังจากการที่เก็บข้าวของเสร็จ โอกาสและเวลาที่จะเดินทางกลับเชียงใหม่โดยรถทัวร์กำลังจะมาถึงในเวลาอันใกล้
เที่ยวสามทุ่มครึ่งคือเวลาที่รถจะเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาหมอชิต ซึ่งปัจจุบันยังเป็นแหล่งรวมคนเดินทาง เป็นจุดศูนย์กลางของผู้คนที่สัญจรไปมาระหว่างกรุงเทพฯ กับปลายทาง ต้นทาง หัวเมืองและตัวจังหวัดต่างๆ
ผมเดินทางจากบ้านพักมาถึงที่หมอชิตประมาณหนึ่งทุ่มครึ่ง หมอชิตในวันนี้ไม่ค่อยมีผู้คนมากเท่าไหร่ เพราะเป็นวันธรรมดาไม่ค่อยมีคนมาก เหมือนวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดตามเทศกาล
ช่วงเวลาระหว่างที่มาถึงหมอชิต ผมก็เดินเข้าไปภายในตัวอาคารผู้โดยสารขาออก และหาซื้อหนังสือพิมพ์ และเดินเรียบทางเดิน ไปๆ มา ๆ เพื่อรอให้ใกล้ที่จะถึงเวลารถทัวร์โดยสารออกจากสถานีขนส่ง
ในขณะที่เดินไปมา มีเสียงต่างๆ มากมายเข้ามาในโสตประสาท ทั้งผู้คนที่พูดคุยกัน เสียงประชาสัมพันธ์ตามลำโพงในอาคาร และเสียงผู้ประกาศข่าวทางโทรทัศน์
คงจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี จึงทำให้เสียงของผู้ประกาศข่าวในโทรทัศน์ นำเสนอข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ไม่ว่าจะเป็นสถิติเด็กที่ถูกละเมิดสิทธิ สถิติผู้หญิงที่ถูกลวนลามข่มขืนกระทำชำเรา ฯลฯ
ข้อมูล ข่าวสารความรุนแรงที่ส่งเสียงจากผู้ประกาศข่าวทำให้ผู้คนที่เดินไปๆ มาๆ บริเวณภายในตัวอาคารหยุดฟังชั่วครู่ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่หยุด ยืนรับฟังและจ้องมองไปยังจอโทรทัศน์ที่ตั้งหน้าร้านค้าร้านหนึ่ง ความรู้สึกแวบแรกของผมที่ได้รับทราบข่าวสารนี้ ก็หวังแต่เพียงว่าความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้น น่าจะลดลงบ้าง แต่ในรายการโทรทัศน์กลับมีสถิติความรุนแรงที่มากขึ้น
เกือบทุกครั้งที่ไปเที่ยวกับบัวและเพื่อนๆ มีเรื่องกระทบกระทั่งกันเสมอ แต่พวกเราก็สามารถพ้นเรื่องเหล่านี้มาได้ และไม่มีทีท่าว่าการทะเลาะวิวาทของวัยรุ่นจะลดลงเลย
เมื่อรู้สึกนึกคิด คล้อยตามข้อมูลที่ได้รับฟังแล้ว พลันที่ได้ชำเลืองมองที่นาฬิกาก็พบว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาที่ต้องไปยังชานชาลารถโดยสาร เพื่อรอขึ้นรถ หลังจากยืนนิ่งเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ ผมหันหลังกลับให้โทรทัศน์และเดินไปยังทางออกตัวอาคาร
เมื่อใกล้จะถึงทางออก ด้านขวามือ ก็มีตู้เกมต่างๆ อยู่ระหว่างทาง ทั้งเกมเตะฟุตบอล เกมจับผิดภาพ เกมรถแข่ง เมื่อผมเดินใกล้จะผ่านเครื่องเล่นเหล่านี้ ก็สังเกตว่ามี เด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งนั่งเล่นเครื่องเล่นเกมรถแข่งอยู่ แต่เมื่อจ้องมองดูอย่างชัดๆ แล้ว ก็เห็นว่าน้องชายคนนี้ยังไม่ได้หยอดเหรียญ เริ่มเล่นเกมเลย
วัยประมาณไม่เกิน 5 ขวบ น่าจะเป็นอายุของเด็กชายผู้นี้ ผมยืนมองเด็กชายอยู่ชั่วครู่ก็ล้วงเหรียญสิบจากกระเป๋ากางเกง หยอดลงไปในรูหยอดเหรียญเพื่อจะได้เริ่มเล่นเกมรถแข่งได้
หลังจากหยอดเหรียญแล้ว เด็กชายซึ่งตัวเล็กและไม่สามารถเอื้อมขามาเหยียบคันเร่งเท้าได้ ก็เริ่มมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่จะได้เล่นเกม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่จินตนาการขับรถไปมา แต่แล้วเวลาที่เขาจะได้เริ่มเล่นเกมก็มาถึง ผมต้องช่วยขยับเบาะให้ชิดใกล้คันเร่งมากกว่าเดิม และยืนอยู่ข้างๆ เขาเพื่อบอกให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ตามความเร็วและถนนที่แข่งรถ
เด็กชายขับรถ ชนไป ชนมาระหว่างสองข้างทางเมื่อรถชน เด็กชายก็ยิ้มและหัวเราะ ผมเองก็หัวเราะและลูบหัวกับความสนุกที่มีต่อกัน ชั่วความคิดนี้ ผมคิดว่า เด็กคนนี้ไม่มีใครดูแลหรือยังไง พ่อแม่ไปไหนทำไมปล่อยให้ลูกมาเล่นอยู่ลำพัง แต่เวลาที่ผมจะได้ยืนมองเด็กชายเล่นเกมก็คงจะมีไม่มากพอ เพราะจะต้องไปที่ชานชาลาแล้ว
พ่อ แม่ไปไหนนะ- ผมคิดในใจ เพราะจำต้องไปที่ชานชาลาแล้ว และมีผู้คนมายืนมองอยู่สอง สามคน
"พี่ไปก่อนนะครับ" ผมพูดกับเด็กชายที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร "ครับ" เด็กชายตอบแล้วยิ้มให้ผม ก่อนหันหน้ากลับไปจ้องมองจอตู้เกม และนั่งเล่นต่อ
พลันที่ผมหันหลังให้เด็กชายผู้นี้ ก็มีใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งมองมายังผม แล้วพูดเบา แต่สามารถอ่านสัมผัสของริมฝีปากว่า "ขอบคุณค่ะ" ด้วยใบหน้ามีรอยยิ้มที่มุมปาก และแววตาที่เหน็ดเหนื่อย แล้วผมก็ยิ้มให้เธอก่อนจะเดินกลับมาถ่ายภาพเด็กชายที่นั่งเล่นตู้เกม ก่อนจะเอ่ยขอบคุณผู้หญิงคนดังกล่าวและรีบวิ่งไปยังชานชาลาเร็วรี่
ค่ำนี้ ผมบอกกับตัวเองว่าแค่ได้ทำให้เด็กชายคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ได้มีรอยยิ้ม และสนุกกับความหวังที่อยากเล่นเกมได้เป็นจริง รอยยิ้มในใจผมก็เบ่งบานขึ้น แต่ยังมีคำถามต่อตัวเองอีกว่า ได้ทำให้เด็กชายมีรอยยิ้มในวันนี้ แต่อาจบ่มเพาะความรุนแรงจากการ ชน ปะทะของรถในเกม ให้เด็กชายได้เห็น และคุ้นเคย เพราะท่ามกลางสถิติความรุนแรงที่เปิดเผยออกมามากมายขณะนี้ อาจมีความรุนแรงต่างๆ แฝงอยู่รอบตัวเราโดยที่เราไม่รู้เลยแม้แต่น้อย แต่เรากลับซึมซับ สัมผัสเข้ามาทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะทางเกม ทางโทรทัศน์ ทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ
จากเสี้ยวนาทีที่เห็นรอยยิ้มของเด็กชายคนนี้ วันข้างหน้ามันอาจแปรเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่งได้ในอนาคต ทว่าอีกด้านหนึ่งรอยยิ้มของเขาอาจทำให้เรา, ผู้ใหญ่หลายๆ คนในวันนี้หันมาทำให้เด็กๆ มีความสุขกับชีวิตบ้าง ดีกว่าปล่อยให้ความเหงาหงอย ทุกข์ใจ กลายเป็นระเบิดเวลาบ่มสร้างความรุนแรง ที่รอเวลาปะทุในวันข้างหน้า
ข่าวร้าย
บนรถทัวร์ เวลาเกือบ เที่ยงคืน โทรศัพท์มือถือสั่นไปกระเป๋ากางเกง ด้วยความล้าเต็มตัว ผมคิดว่าจะไม่รับโทรศัพท์ แต่พอเครื่องสั่นนานขึ้น และสั่นหลายครั้ง เลยต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองดู และก็พบว่า เบอร์ที่โทรมานั้น เป็นหมายเลขโทรศัพท์ของ "เต้ย"
ผมไม่รีรอ, รับสายโดยทันทีเพราะเครื่องสั่นอยู่ตลอดเวลา
"พี่ พี่ ...พี่บัวโดนยิง!" เสียงของเต้ยสั่นคลอนด้วยความตกใจ
"อะไรนะแก" ผมถามย้ำอีกครั้ง เพราะเครื่องยนต์ของรถทัวร์เสียงดังและคลื่นโทรศัพท์ก็ไม่ค่อยมี
"พี่บัว โดนลูกปืนที่หลัง...อยู่โรงบาน จะตายไม่ตายผมไม่รู้" เต้ยตะคอกเสียงดัง
"อืม....แล้วพี่บัวเป็นไงบ้าง ...ใครทำพี่บัวว่ะ...แล้วตอนนี้อยู่โรงบานไหน" คำถามเป็นชุดออกจากสมองของผม ด้วยความอยากรู้ สภาพของเพื่อนรุ่นพี่
แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าประโยคที่เต้ยบอกตอนต้น เพราะโทรศัพท์คู่ใจดันบังเอิญแบตเตอรี่หมด เลยไม่ได้คุยอะไรเป็นเรื่องเป็นราว
ในใจของผมตอนนี้....รู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก อาการล้าเปลี่ยนกลายเป็นอารมณ์โศก แม้ว่าจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น มีต้นเหตุจากอะไร แต่ผลที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ ชีวิตของคนหนึ่งที่ได้ผูกพันกันมา ตลอดเวลาสามปี ทำให้น้ำตาของผมค่อยซึมออกมาจากเบ้าตา ไม่กล้าที่จะคิดในทางร้าย ได้แต่ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองพี่บัวให้ปลอดภัย
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรผมไม่รู้, แต่คืนนี้ ข่าวร้ายได้ทำให้ดวงตาคู่นี้มีเพียงน้ำน้อยๆ ที่รินไหลออกมาอย่างรวยริน......