Skip to main content

ผ้าขาวม้าเก่าๆ ผืนหนึ่งบนต้นไม้ข้างกระท่อม เพื่อชีวิต…ที่เดินมาถึงทางตัน


ผู้ชายคนหนึ่ง
เป็นกรรมกรขายแรงงานทำงานก่อสร้าง ตกงานและพยายามหางานทำอย่างไรก็ไม่ได้ จนกระทั่งเงินที่เหลือเก็บอันน้อยนิดและข้าวของเครื่องใช้ที่พอมีราคา ถูกนำไปขายเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจนหมด พร้อมกับเมียรักที่อยู่กินมาได้หนึ่งปีกว่า ๆ ได้หอบหิ้วเสื้อผ้าหนีความจนตีตัวจากไป


ท่ามกลางความอับจนของชีวิต
เขาผู้ตกอยู่ในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอก ได้พยายามกอบกู้ชีวิตของตัวเอง ด้วยการบากหน้าเที่ยวไปอ้อนวอนขอยืมเงินเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องและใครต่อใคร…ที่เขาคิดว่าจะพอพึ่งพาได้ เพื่อเป็นค่ารถค่าอาหารออกไปหางานทำและตามหาเมียแทบทุกหลังคาเรือนในชุมชนที่เขาอาศัยอยู่ ซึ่งเดิมทีเคยเป็นชุมชนของสังคมเกษตรกรรม ที่ผู้คนยังผูกพันกันฉันญาติมิตรพี่น้อง คอยเอาใจใส่ความทุกข์สุขกันและกัน เพราะความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาแรงงานช่วยเหลือกันทำไร่ทำนา


แต่ต่อมาสังคมแบบเดิมได้เปลี่ยนไป เพราะผู้คนต่างพากันเฮโลขายที่ดินและไร่นาให้กับนายทุน ที่เที่ยวกว้านซื้อที่ดินของชาวบ้าน เพื่อเก็งกำไรขายให้กับบริษัทลงทุนอุตสาหกรรม และบริษัททำบ้านและที่ดินจัดสรรที่กำลังรุกรานเข้ามา ในยุคสมัยที่ที่ดินถูกปั่นเป็นสินค้าราคาแพง ทำให้สังคมเกษตรกรรมในชุมชนนี้ ค่อย ๆ ล้มละลายจากการขายที่ดินทำมากิน กลายเป็นสังคมของคนขายแรงงานและค้าขาย ที่แทบไม่มีเงื่อนไขความจำเป็นใด ๆ ต้องพึ่งพากันอีก นอกจากงานศพงานวัด ซึ่งยังคงเป็นงานประเพณีในท้องถิ่นที่ผู้คนในครอบครัว จำเป็นจะต้องไปช่วยกัน ผู้คนต่างอยู่กันแบบตัวใครตัวมัน ตามสภาพของสังคมที่เปลี่ยนไป


ปรากกฎว่า
ไม่มีใครสักคนยอมให้คนที่ล้มเหลวในชีวิตและสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างเขา...ยืมเงินแม้แต่คนเดียว เพราะกลัวว่ายืมแล้วจะไม่ได้คืน แถมยังแสดงท่าทีรังเกียจเหยียดหยามเขา ทั้ง ๆ ที่คนเคยบวชเรียนมาแล้วอย่างเขา ไม่เคยกินเหล้าเมายา ไม่มีนิสัยอันธพาลเที่ยวไปเกะกะระรานใคร เขาเพียงแต่ตกงาน และออกไปหางานทำยังไม่ได้เท่านั้นเอง...


วันหนึ่งเขาจึงตัดสินใจ หาทางออกให้กับชีวิตที่เดินมาถึงตัน...ด้วยผ้าข้าวม้าเก่า ๆ ผืนหนึ่งบนต้นไม้ข้างกระท่อม ที่เขาถูกทอดทิ้งให้เผชิญกับปัญหากับชีวิต...แต่เพียงลำพังผู้เดียวในโลก ท่ามกลางเสียงอุทานแกมสมเพชของผู้คน ที่นอกจากจะไม่ยอมช่วยเหลือแล้ว แต่ยังซ้ำเติมเขาอีกว่า
"
คนเคยบวชเรียนมา ไม่น่าจะโง่มาคิดสั้นอย่างนี้ ตายๆ ไปเสียก็ดี อยู่ไปก็รกโลก "


นี่คือเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่ง
ที่ผมได้รับรู้มา จากชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งในละแวกชานเมือง ที่ผมหิ้วกีตาร์เร่ร่อนไปเล่นดนตรีในห้องอาหารข้างถนนสายใหญ่ที่ตัดผ่านชุมชนเล็กๆ แห่งนี้ และไม่สามารถลืมเรื่องนี้ได้


เพราะนี่คือโศกนาฏกรรมของชีวิต ที่สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของสังคม ที่มักจะชื่นชมยอมรับแต่คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่กลับปฏิเสธคนที่ล้มเหลวและพ่ายแพ้จนกลายเป็นกรอบความคิดที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของผู้คน ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน และต่างชินชาจนไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดหรือถูก ดีหรือว่าเลว เนื่องจากใคร ๆ ต่างก็เชื่อและยอมรับคุณค่าทางสังคมนี้เหมือน ๆ กันหมด


เพราะความคิดสารพัดความคิดของมนุษย์ ที่ถูกนำมากำหนดเป็นคุณค่าและกฎเกณฑ์ต่างๆ ครอบงำคนในสังคม มักล้วนแต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ ค่านิยมยอมรับและไม่ยอมรับกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ หรือแม้กระทั่งระหว่างสังคมกับสังคมไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกันในเรื่องใด ๆ มักล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ที่เป็นวัตถุธรรมหรือนามธรรม

คุณเคยตั้งข้อสังเกตตัวเองบ้างไหม
เวลาเราจะให้อะไรกับใครสักคน ลึกลงไปในจิตสำนึก ถ้าเราไม่โกหกตัวเอง เรามักจะได้ยินเสียงข้างในของตัวเรา แอบบวกลบคูณหาร ถามตัวเองในใจอยู่เสมอก่อนว่า
ให้มากเกินไปหรือเปล่า
ให้ดีเกินไปหรือเปล่า


และเมื่อตัดสินใจให้เขาไปแล้ว ก็ยังกลับมาคิดอีกชั้นหนึ่งว่า สิ่งที่จะได้รับคืนกลับมา คุ้มค่ากับสิ่งที่ให้ไปหรือเปล่า และอีกนานเท่าไหร่หนอ ...จึงจะได้อะไรสักอย่างเป็นสิ่งตอบแทนคืนกลับมา


บางที...เพียงแค่หยิบยื่นเศษเงิน 2-3 บาท ให้ขอทานข้างถนน แทนที่จะให้ไปด้วยความเมตตาสงสารเพื่อนมนุษย์ที่ตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ แต่ เราก็ยังอดแอบหวังไม่ได้ว่า การให้ทานเล็ก ๆ น้อย ๆ ครั้งนี้ จะต้องได้รับผลบุญตอบแทนในภายภาคหน้า ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง


มีเรื่องเล่าจากสังคมพื้นบ้านล้านนาเรื่องหนึ่ง
เป็นเรื่องตลกเสียดสีคนที่ทำบุญทำทานเพื่อหวังผล แม้แต่การให้ทานแก่ขอทานก็ยังไม่ละเว้นที่จะหวังได้โน่นได้นี่ เล่ากันว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่ จนไม่มีชายใดมาเหลียวแล ถึงแม้จะมีฐานะค่อนข้างดี แต่กลับเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวาไปทำบุญทำทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใคร แถมยังชอบวางตัวเป็นคุณนายจนคนเขาหมั่นไส้กันทั่วไป ได้ถูกมหาเปรียญขี้เหล้าคนหนึ่ง ซึ่งอดีตเคยเป็นเจ้าอาวาสที่ถูกจับสึกและไล่ออกจากวัด เพราะแอบไปกินเหล้าและมั่วสีกาในกุฏิ ซึ่งเข้าใจจุดอ่อนของผู้หญิงคนนี้ แกล้งไปพูดให้ฟังถึงอานิสงส์ผลบุญจากการทำบุญแต่ละอย่างแต่ละชนิด และหลอกผู้หญิงคนนี้ว่า ในบรรดาการทำบุญทำทานทุกอย่าง ไม่มีการทำบุญทำทานใด ๆ จะได้อานิสงส์ผลบุญกลับแรงมหาศาล เท่ากับการให้ทานขอทานพิกลพิการ เพราะเมื่อตั้งจิตภาวนาอธิษฐาน อยากได้อยากมีอยากเป็นอะไร ตายแล้วเกิดใหม่ ก็จะได้หมดทุกอย่างในชาตินี้


วันหนึ่ง
หญิงขี้ริ้วขี้ตระหนี่ไม่เคยมีชายใดมาเหลียวแล จึงแอบลับ ๆ ล่อ ๆ ไปให้ทานขอทานแขนขากุดข้างถนนคนหนึ่ง 5 บาท พร้อมกับภาวนาสาธุตั้งจิตอธิษฐานขออานิสงส์ผลบุญจากการทำทานครั้งนี้ จงดลบันดาลให้ตัวเอง ตายแล้วเกิดใหม่เป็นนางเป็นฟ้าอยู่บนสวรรค์ กินทิพย์อิ่มทิพย์ และแวดล้อมด้วยเทพบุตรรูปงาม คอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาคลอเคลียโอบอุ้ม ทุกขณะที่ล่องลอยเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์


ผมเก็บเรื่องนี้มาขบคิด ...จนหัวแทบแตก ตั้งแต่วิธีการคิดของตัวเอง บวกกับวิธีการคิดจากนักคิดทั้งทางฝ่ายตะวันตกและตะวันออกทุก ๆ สำนักในโลกนี้รวมกัน จนป่านนี้...ผมก็ยังคิดไม่ออกเลยว่า ไอ้เงินทำทานให้ขอทานแขนกุดขากุดแค่ 5 บาท บวกกับความเชื่องมงายที่โรม้านซ์เป็นบ้านี้ จะดลบันดาลให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกขุดออกมาจากป่าช้า ตายแล้วเกิดใหม่ กลายเป็นโฉมสะคราญถึงปานนั้นได้อย่างไร


จริง ๆ นะ
ถ้าคนเรารู้จักตรวจสอบความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง และกล้าหาญยอมรับตัวเองอย่างซื่อสัตย์ได้ คนบางคนอาจจะตกใจที่ค้นพบตัวเองเป็นคนน่าเกลียดถึงขนาดว่า ตั้งแต่เกิดมาจำความได้จนกระทั่งแก่เฒ่าจนผมหงอกขาวโพลนเต็มหัว ชีวิตยังไม่เคยให้อะไรกับใครในโลกนี้โดยไม่หวังผลตอบแทน แม้กระทั่งความรักที่ให้กับลูกในไส้ของตัวเอง ก็ยังเป็นความรักแบบพ่อค้าที่หวังผลกำไร อยากให้ลูกเป็นโน่นเป็นนี่ตามใจตัวเอง พอไม่ได้เหมือนใจก็พาลโกรธและเกลียดลูกเต้า


ใช่ เพราะพวกเรามักล้วนแล้วแต่เป็นมนุษย์ของผลประโยชน์ เราจึงมักคอยแต่จะยอมรับและชื่นชมเห่อเหิมแต่คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ยิ่งคนที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิต มีตำแหน่งหน้าที่การงาน ฐานะ ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทองและอำนาจมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งยอมรับและชื่นชมเห่อเหิมเขามากเท่านั้น


เพราะผู้คนชั้นดีเหล่านี้ เพียงแค่เรามีโอกาสได้รู้จัก หรือมีโอกาสได้เข้าใกล้เพียงแค่ปลายรัศมีเรืองรองแห่งความสำเร็จของเขา ยังย่อมทำให้เราพลอยดูดีมีราคาและคุณค่าไปกับเขาด้วย สำมะหาอะไร...กับเรื่องผลประโยชน์ที่เราอาจหวังได้สารพัดจากคนชั้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ที่เป็นวัตถุธรรมและนามธรรม ถ้าหากเรารู้จักวิธีการเข้าถึงและเก็บเกี่ยวเอา ชีวิตย่อมมีแต่ได้กับได้ ใครเลยจะไม่ชอบคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต


จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลก
ที่ผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งมีสถานะทางสังคม เป็นเพียงแค่กรรมกรผู้ใช้แรงงาน ตกงาน ไม่มีเงิน เมียหอบผ้าหนี จะถูกสังคมที่มีจิตสำนึกแบบนี้ปฏิเสธ และคงเป็นเพราะว่าเขาคงเคยบวชเรียนอยู่ในวัดมานานเกินไป และเป็นคนดีเกินไปที่จะมีชีวิตอยู่ในทางโลก เมื่อถึงคราวที่ชีวิตจนตรอก อยู่ในขีดขั้นที่ทางเศรษฐศาสตร์เขาเรียกกันว่า "ภาวะที่มนุษย์กำลังจะอดตาย" ซึ่งสามารถทำให้มนุษย์ทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งกินเนื้อจากซากศพมนุษย์ด้วยกัน...เพื่อการอยู่รอด แทนที่เขาจะหันหลังกลับไปลงมือทำร้ายหรือฆ่าใครสักคนในสังคมที่ปฏิเสธเขา เพื่อการอยู่รอดของชีวิตให้สาแก่ใจ เหมือนคนธรรมดาสามัญทั่ว ๆ ไป ที่ถูกภาวะบีบคั้นอย่างถึงที่สุดนี้บังคับให้เป็นอาชญากร...


แต่เขากลับลงมือทำกับตัวเอง เยี่ยงนายทหารใจเด็ดผู้พ่ายแพ้สงครามเลือกลงมือทำอัตวินิบาตกรรมตัวเอง แทนที่จะยอมมีชีวิตอยู่ เพื่อตกเป็นเชลยศึกอยู่ในเงื้อมมือของผู้ชนะสงคราม


ผมจึงไม่สามารถที่จะลืมชีวิตและความตายของเขาได้ เพราะคนที่ลงมือทำร้ายตัวเอง เพื่อที่จะไม่ได้ทำร้ายคนอื่น แม้กระทั่งคนที่ใจดำและรังเกียจเหยียดหยามความสิ้นไร้ไม้ตอกของเขาเพื่อรักษาความดีงามเอาไว้ คือผู้กล้าหาญทางจริยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก


ใช่ ไม่มีใครมองเห็นเขา


แต่ผมมองเห็น...เขายืนสง่างามอยู่ ณ ที่ตรงนี้.


13 มิถุนายน 2550
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่