Skip to main content

บัวสีเทา : อดีตในความทรงจำ (1)

คอลัมน์/ชุมชน

เรื่องเมื่อหลายปีก่อน.....พบกันในวันหนึ่ง

ไม่น่าเชื่อว่าบัวกับผมจะมาเป็นเพื่อนกันได้ เพราะเราทั้งสองคนต่างเติบโตกันมา คนละพื้นที่ มีพื้นเพการเลี้ยงดูที่ต่างกัน


ผมเป็นคนเชียงรายโดยกำเนิด และเป็นเพียงแค่วัยรุ่นคนหนึ่งที่ต้องการการแสดงออก อยากรู้ อยากลอง ตามเพื่อน ไม่ต่างจากเพื่อนๆ วัยเดียวกันทั่วไป หากต่างคงเป็นหน้าที่การงานและความรับผิดชอบที่มีอยู่และไม่ได้เรียนหนังสือในมหาวิทยาลัย


ภารกิจและความรับผิดชอบในการทำงานก็ทำงานอิสระไปเรื่อยๆ ตามประสาคนหนุ่มที่ตะลอนออกจากบ้านมาเมื่อเรียนจบมัธยมปลาย ผมเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเปิด โดยใช้เวลาในการอ่านหนังสือและไปสอบเป็นครั้งคราวเมื่อถึงเวลา


ผมอยู่ลำพังที่เชียงใหม่ เพราะมีงานมากมายที่เข้ามาว่าจ้างอย่างต่อเนื่อง บ่อยครั้งที่โทรศัพท์กลับบ้าน แม่มักจะบอกว่าที่เชียงใหม่ แก๊งเยอะนะ พวกซามูไรน่ะ วันนั้นวันนี้มีคนโดนฟัน โดนแทง พอฟังจบผมก็คิดในใจว่า แม่ทำไมรู้มาก ทั้งที่ผมอยู่เชียงใหม่ แต่กลับไม่ค่อยได้ยินข่าวคราวเลย แม่มักเตือนด้วยความเป็นห่วงเสมอ


ภาพจินตนาการของเด็กแก๊งในเชียงใหม่ จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับผม ซึ่งรวมไปถึงข่าวที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวในแต่ละวัน ทำให้เริ่มกลัว และหวาดระแวงอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งพี่ที่ทำงานด้วยกันถูกวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งรุมชกต่อยที่กลางสี่แยกไฟแดง จนพี่คนนั้นรู้สึกไม่ดีกับกับวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มเป็นแก๊ง


ผมเลยมีคำถามขึ้นมาว่า แก๊งเป็นอย่างไรกันแน่ พวกเพื่อนๆ ที่มีอายุไล่เลี่ยกันกับผม เขามีชีวิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร ทำไมมีแต่ความรุนแรงเกิดขึ้นมากมาย จึงเป็นแรงบันดาลใจภายในตัวเองที่สนใจเรื่อง วิถีชีวิตของเพื่อนๆ ที่ผู้คนในสังคมขนานนามว่า "แก๊ง"


แต่ผมไม่ใช่เด็กแก๊งนี่สิ
แล้วผมจะทำอย่างไร เพื่อให้เข้าถึงกับเพื่อนๆ ได้


โชคดีที่ผมรู้จักพี่ๆ ที่เขาได้ทำงานกับวัยรุ่นเมืองเชียงใหม่ ผมเลยชวนพี่บางคนที่ทำงานกับกลุ่มเด็กแก๊ง ในจังหวัดเชียงใหม่ เริ่มจาก พี่รัก ก้อย แพน และอีฟ เพื่อนผู้ซึ่งมีชีวิตที่ผ่านพ้นชีวิตแบบแก๊งและเป็นแกนนำในการทำงานเรื่องเอดส์ เพศศึกษา ในกลุ่มวัยรุ่น ที่ร่วมเป็นทีมงานในการศึกษาวิถีชีวิตของเด็กแก๊ง ตลอดระยะเวลาหลายเดือน


และด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง ผมจึงได้รู้จักกับบัวและเพื่อนของเขาโดยบังเอิญที่สถานที่เที่ยวแห่งหนึ่งในคืนที่พวกเราเริ่มไปเก็บข้อมูล


ใจนักเลง


สำหรับผมแล้ว บัวเป็นเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่ไม่ได้แตกต่างอะไรมากมาย เพียงแต่สิ่งที่น่าสนใจในตัวเขา ณ วันที่รู้จัก ...ภาพของชายหนุ่มสูงผอมผมไม่ยาวเท่าไหร่ แต่สวมหมวกพอดูเท่เหมือนฮิปเปอร์ เสื้อยืดสีดำ สร้อยเส้นโตสีน้ำเงิน พร้อมจี้ห้อยคอที่เป็นรูปไม้กางเขน กางเกงที่ใส่เป็นกางเกงห้าส่วนขาตรง รองเท้าข้างโตๆ สีขาว


เท่! – ความรู้สึกแวบแรกที่ผมเห็นเขาในคืนนั้น


มือที่ถือแก้วเหล้าซึ่งผสมน้ำและโซดาอยู่เต็มใบ ถูกยกดื่มอยู่บ่อยๆ สลับกับการเต้นโยกย้ายส่ายไปมา ผมชำเลืองมองไปที่คอด้านหลังของเขา ก็เห็นว่าเป็นรูปสักลายต่างๆ


"มองอะไรเหรอ" เสียงสหายหนุ่มคนใหม่เริ่มทักทายด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจ
"
อ๋อ...เปล่าครับ แค่ดูลายสักพี่ มันเท่ดี" ผมตอบด้วยอาการกลัวๆ
"
ถ้าอยากสักเดี๋ยวพี่พาไปไอ้น้อง" เขาบอกแล้วหันไปคุยกับเพื่อนที่วงเหล้าต่อ


จากนั้นพี่ๆ ที่เก็บข้อมูลด้วยกัน ก็ชวนไปกินโต๊ะอื่น เพราะโต๊ะของบัวและเพื่อนๆ ไม่ค่อยมีที่ว่างพอสำหรับกลุ่มของพวกผมอีกสี่คน


พอมานั่งที่โต๊ะใหม่ พี่ๆ ที่มาด้วยกัน ก็เริ่มเล่าให้ฟังว่า ชีวิตวัยรุ่นในเมืองเชียงใหม่ ตอนกลางคืนเป็นอย่างไร มีที่เที่ยวที่ไหนบ้าง ใครชื่ออะไร คุมที่ไหนอย่างไร และข้อมูลอื่นๆ อีกมากมายที่พอสำหรับคนที่ไม่คุ้นเมืองเชียงใหม่อย่างผม


แต่สิ่งที่ผมสนใจมากคือ เรื่องของบัว
พี่ๆ ไม่ลังเลที่จะเล่าให้ฟัง
"
มันก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเรานี้แหละ บัวมันอยู่อำเภอรอบนอกเชียงใหม่ เรียนก็ไม่จบ วันๆ ไม่ทำอะไร แต่มันมีตังค์เที่ยว มีเพื่อนมาก เพื่อนมันหลายคนช่วยเหลือมัน เพราะมันเป็นคนช่วยเหลือเพื่อน เพื่อนๆ เลยรักมัน ไม่มีใครกล้าทำอะไรมันหรอก เพราะมันเข้ากับทุกกลุ่มได้" พี่คนหนึ่งเล่าถึงบัว


และบอกต่อว่า "เห็นมันดุๆ อย่างนั้น จริงๆ มันไม่มีอะไรหรอก ถ้าใครที่สนิทกับมัน จะรู้ดีว่า จริงๆ มันเป็นคนอย่างไร ถ้าอยากคุยกับมันก็จริงใจกับมันด้วยนะ ไม่ใช่จะถามเอาข้อมูลอย่างเดียวแล้วพอได้ข้อมูลก็หายไป จะเป็นเพื่อนก็ต้องเป็นเพื่อนด้วยกันตลอด เข้าใจมั้ย"


เราทั้งห้าคนคุยกันได้สักครู่หนึ่ง ก็มีเสียงแก้วแตกดังในร้าน


ผมพยายามมองหาที่มาของเสียงนั้น ก็เห็นว่า โต๊ะของพี่บัวกับเพื่อนๆ กำลังมีเรื่องกับโต๊ะข้างๆ ผมนิ่งอยู่กับที่ ไม่กล้าที่จะขยับไปไหนเพราะกลัวจะโดนลูกหลงเข้า แต่พี่ๆ ที่โต๊ะต่างพากันวิ่งเข้าไปที่โต๊ะพวกพี่บัว


วัยรุ่นอีกฝ่ายมากันหลายคน แต่พวกพี่บัวก็รุมต่อยเตะตีพวกนั้นแบบมวยคนละรุ่น พอพี่ที่มาด้วยกันกับผมเข้าไปช่วยแยก ทุกอย่างก็ค่อยๆ จบลง ผู้คนที่อยู่โต๊ะข้างๆ ที่ยืนมองดูเฉยๆ ก็กลับไปอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง ตามเดิม ส่วนวัยรุ่นอีกฝ่ายก็ออกไปนอกร้าน ผมสังเกตเห็นบางคนมีเลือดไหลจากหัวด้วย


พอเหตุการณ์เริ่มสงบ ผมเดินเข้าไปหาพวกพี่บัวและเพื่อนๆ ทุกคนไม่เป็นอะไรมาก มีเพียงแค่ปวดมือเท่านั้น เพราะใช้หมัดต่อยอีกฝ่ายหนักมากจนทำให้ปวด


ผมถามคนในกลุ่มว่า เป็นอะไรกันบ้าง เดี๋ยวผมหายาให้


พี่บัวรีบตอบในที "ไม่เป็นไรแค่นี้มันไม่เจ็บถึงตายหรอก"
"
ครับ มะ...ไม่ เป็นไรก็ดีแล้วครับ" ผมพูดสั่นๆ
"
แล้วทำไมยืนดูเฉยๆ วะ ทำไมไม่มาช่วยกันละน้อง" พี่คนหนึ่งในกลุ่มถามผม
"
กลัวพี่...ผมกลัวเจ็บอ่ะ" ผมตอบน้ำเสียงจริงจัง
"
ถ้ากลัวเจ็บ ก็ไม่ใช่นักเลงพอ ถ้าเจ็บก็ต้องอดทน ต้องใจนักเลงพอ" เจ้าของเสียงบอกกับผมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น – พี่บัว คือเจ้าของเสียงนี้นั้นเอง