Skip to main content

ไปเป็นโยคีที่เมืองพม่า ตอนที่ 1

คอลัมน์/ชุมชน


ถามตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบ ว่าสมควรไหมกับการมีพฤติกรรมแบบนี้ คือ แอบมานั่งเขียน สติไม่ยอมสร้าง สมาธิไม่ต่อเนื่อง อีกประการหนึ่ง เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งสูงส่ง ทั้งหลาย แม้แต่กระบวนการปฎิบัติธรรม อันนับได้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องน้อมเข้ามาใส่ตัวด้วยความเคารพนบนอบที่สุด เพราะเป็นคำสั่งสอนจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากเพลี่ยงพล้ำเพราะจิตใจต่ำต้อยด้อยปัญญา อาจใช้คำพูดคำเขียนที่ไม่เหมาะสม ...ไม่สมควรที่จะเรียกว่า "เป็นผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรม"


ข้าพเจ้ากราบขอขมากรรมต่อการกระทำที่ไม่เหมาะสมทั้งหลาย ที่ปรากฏขึ้นในครั้งนี้ จากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือด้วยเจตนาที่ต้องการบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้น จากการขับเคี่ยวภายใน และบรรยากาศทั่วไปของการใช้ชีวิตช่วงหนึ่งที่อยู่ที่นี่ ซึ่งมีระยะสั้นมาก มากจนมีโอกาสผิดพลาดได้ ต่อทัศนะบางอย่างโดยเฉพาะทางด้านสังคม ซึ่งเพียงแต่ต้องการสะท้อนภาพที่ข้าพเจ้ามองเห็นในช่วงเวลาสั้นๆ ภายในรั้วรอบขอบชิดของสถานที่นี้เท่านั้น อ้อ...อาจมีลุกลามไปตามถนนรนแคมบ้าง ก็เพราะมีโอกาสออกไปทำธุระส่วนตัว ซื้อข้าวของเครื่องใช้ ในตอนต้นและตอนปลายของการอยู่ที่นี่


30 พฤษภาคม
เพื่อนฉัน



คิดหนอ อยู่หลายครั้ง เรื่องจะเขียนจดหมายถึงเธอ เพราะว่าไม่อยากฟุ้งซ่าน รู้ตัวดีว่าสติแตกง่าย จนบัดนี้มันก็ยังกระจัดกระจายอยู่ตามรายทางที่เดินจงกรม


มีเรื่องพิลึกเกินกว่าจะเชื่อ แต่ก็แค่เฝ้าดู (อีกนั่นแหละ) ใจหนึ่งอยากเขียนถึงยาวๆ แต่ใจหนึ่งบอกว่าให้รอไปก่อน
เพราะว่าเรื่องบางเรื่องไม่ควรนำมาใส่ใจมากนัก แค่ให้ความสนใจต่อสิ่งรอบๆตัวแล้ววางลง ก็พอแล้ว


ถ้าอย่างนั้น...เอาประเด็นย่อยก่อนนะ ฉันพบว่า ฉันทำกรรมทำเวรกับผู้ชายมาเยอะ เรื่องราวเก่าๆ จึงโผล่เข้ามาทั้งในความฝันและความคิด มันมาให้อโหสิได้วันละคน บางคนฉันลืมไปตั้งนานแล้ว มาฝันเห็นในเวลาแอบงีบหลับตอนกลางวัน...นี่ล่ะ เธอคิดดูเถอะ หนุ่มหนึ่งเคยดูแลห่วงใยฉันตั้งแต่เขาอยู่มัธยมปลายโรงเรียนเอกชนชื่อดังเปรี้ยงปร้าง (เพราะชอบยกพวกตีกัน) แถวสามเสน และฉันยังผูกคอซองอยู่แถวๆลาดกระบัง จนเขาเรียนต่อมหาวิทยาลัยแถวหน้าพระลาน สุดท้ายฉันโกรธเขาเพราะคำพูดของคนอื่น แล้วก็ไม่บอกไม่กล่าวอะไรเขาเลย เฮ้อ!! จนบัดนี้เพิ่งนึกขึ้นได้


ส่วนบุคคลสำคัญในชีวิต วันนี้สัญญาณบางอย่างส่งมาอย่างแรง นั่นคือตาซ้ายกระตุก จนฉันต้องกำราบตัวเองว่า....จะบ้าหรือไง มาอยู่ตั้งไกลยังจะมีสัญญาณอะไรอีก แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่เขากลับจากยุโรป เถอะ...ยังไงฉันก็อโหสิกรรมให้เขาอยู่แล้ว เขาน่าจะรู้ เพราะฉันเคยบอกว่า เมื่อไหร่ที่ฉันเดินทางไกลบ้าง เราคงจะห่างกันไปเอง และนี่ก็ไกลมากแล้ว ไกลทั้งกายและใจ


ส่วนประเด็นสำคัญอันดับสอง ฉันสอบอารมณ์เป็นวันแรก หลังจากทำผิดทำถูกมาสี่ห้าวัน พระอาจารย์ของฉัน คือท่านอูโสภิตะ ไม่ดุเลยสักนิด หน้าตายิ้มละไมตลอดเวลา ฉันเสียอีกที่กลัวจนตัวสั่นงันงกในตอนแรก เพราะเช้านี้ฉันปฏิบัติได้เลวร้ายมาก คือ ง่วงตั้งแต่ตี 3 เดินจงกรมหนึ่งชั่วโมง นั่งได้ 30 นาที ทนไม่ได้ปวดหัวแทบระเบิด จึงลงมางีบ (ท่านอาจารย์ อนุญาตให้พักได้เป็นระยะ) อันที่จริงก็แก้ไขปัญหาข้องใจในการปฏิบัติได้บ้าง เพราะขออนุญาตท่านอ่านหนังสือประกอบกับการฟังเทปของท่านอาจารย์ใหญ่อูชะนาก้า (หรือเชมเย่ สะยาดอ) เหตุที่ต้องฟังเทปเสียงท่านอาจารย์ใหญ่เพราะท่านไม่อยู่ ไปอบรมธรรมะที่แคนาดาหลายเดือน หลังจากที่ได้กราบท่านในวันแรกที่มาถึง จากนั้นฉันไม่ได้เจอท่านอีกเลย จึงมีแต่ท่านอาจารย์อูโสภิตะ รองเจ้าสำนัก หรือเจ้าอาวาสก็อาจเรียกได้ แต่ที่นี่ไม่ใช่วัด เป็นเพียงสำนักปฎิบัติธรรม ที่มีผู้คนอาศัยหลายร้อยชีวิต ในพื้นที่เล็กๆ กลางกรุงย่างกุ้ง มีอาคารสูงสองถึงสามชั้นยืนเบียดเสียดดูไม่น่าจะอยู่ได้สงบสุข แต่โยคีทั้งหญิงและชาย นับร้อยคน ต่างอยู่ในอาการสำรวมกาย วาจา ใจ บ้างนั่งบ้างเดินจงกรม อยู่ในอาคารสองชั้น ส่วนฉันและชาวต่างประเทศอื่นๆ ได้อาศัยนอนและปฎิบัติในอาคารสี่ชั้นที่อยู่ติดกัน ที่ค่อนข้างใหม่เอี่ยม สะดวกสบายกว่าเจ้าของประเทศเสียอีก (เขามีที่พักแยกออกไปต่างหาก อยู่ในอาคารเก่าๆ ด้านหลังของสำนัก เท่าที่แอบสังเกตตอนเดินไปหาแม่ชีไทย ฉันเห็นพวกเขาอยู่อย่างแออัด ห้องหนึ่งอยู่กันประมาณสามสี่คน ทั้งที่ขนาดห้องเท่ากับที่ฉันอาศัยอยู่คนเดียวนี่แหละ)


มีคนบอกว่า ที่พม่ามีสำนักปฏิบัติธรรมดังๆ หลายแห่ง แต่ละแห่งมีอาคารใหญ่ๆ เหมือนที่บ้านเราเรียกว่า "ศาลาการเปรียญ" บางที่จุคน ให้สามารถนั่ง เดิน ยืน ได้สี่ห้าร้อยคน และคนเหล่านั้นส่วนใหญ่ เป็นชาวต่างชาติเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าที่นี่ทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าถึงธรรมะได้ แม้จะต่างลัทธิต่างผิวพันธุ์ ขอแค่มีหัวใจที่ตรงกัน "คือต้องการพ้นทุกข์"


ที่นี่ จึงเหมือนโรงเรียนของคนทุกชนชั้น จนรวยต้องมาอยู่ในสภาพเดียวกัน ที่น่าชื่นชมคือ ฉันเห็นเด็กสาววัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ที่มาปฎิบัติ ผู้สูงอายุมีน้อยกว่า (เพราะเขาเหล่านั้นเข้าวัดปฎิบัติธรรมกันตั้งแต่หนุ่มสาวแล้ว) แม่และน้องๆ ของเพื่อนฉัน (ที่เป็นนักศึกษาพม่าลี้ภัยในไทย-จะเล่าทีหลังนะเรื่องนี้) บอกว่าพวกเขาจะผลัดกันเข้าวัด ปีละครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่าสิบวัน แต่จะไปคนละสำนัก ตามแต่จริตของแต่ละคน แต่ในที่สุด สิ่งที่เขารู้เห็น คือสิ่งเดียวกัน ดังนั้น การไปในที่ต่างกันจึงไม่ได้ก่อให้เกิดความเห็นต่างในครอบครัว


อีกอย่าง การเข้ามาอยู่ในวัดหรือสำนักปฎิบัติ คือมีโอกาสได้กินอิ่ม นอนหลับและเรียนรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม นั่นคือสิ่งที่แม่ชีชาวไทยบอกกับฉัน ให้เข้าใจสภาพสังคมของพม่าว่าคนส่วนใหญ่ยากจน จนต้องออกมาบวชกันมากมาย หลายวัดในหลายเมืองที่ฉันเคยไป มีสามเณรและพระสงฆ์นับพัน เวลาเช้าตรู่จนถึงสายๆใกล้เที่ยง จะเห็นพระเณรออกบิณฑบาตรกันมากมาย คล้ายดอกไม้สีแดงเข้มเคลื่อนไหวสดใสในกลุ่มคนคลาคล่ำริมทาง ยามเดินเหินท่าทางไม่สำรวม ไม่น่าใส่บาตร แต่เบื้องหลังก็คือ ท่านทำหน้าที่เยี่ยงผู้ขอ ฉะนั้นการบิณฑบาตรยามสายใกล้เที่ยง คือการขอรับของเหลือจากชาวบ้าน ฉันเคยเห็นครั้งหนึ่งในเมืองพุกามเมื่อสองปีก่อน ใกล้เวลาเพลเต็มทีแล้ว ชาวบ้านยังแบ่งชิ้นแตงโมใส่บาตรให้เณร



มุมมองบางมุม ที่ไม่คุ้นเคย ฉันจึงไม่กล้าด่วนสรุป จนกว่าจะแน่ใจว่ามีข้อมูลมากพอแล้ว โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับโลกด้านใน สังคมของประเทศนี้สอนใจฉันหลายอย่าง ทั้งที่การเข้าประเทศของเขาครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน ฉันเข้ามาอย่างคนอหังการณ์ กระทำการบางอย่าง อย่างน่ารังเกียจ นึกย้อนไปแล้ว ช่างน่าละอายนัก


จึงอยากจะบอกเธอว่า หากเธอไม่ชอบรัฐบาลเผด็จการของพม่า แต่ในบางมุมยังน่าชื่นชม คือรัฐบาลเขาให้เงินอุดหนุนวัดทุกวัดที่มีการอบรมธรรมมะ ที่สำนักนี้ก็เช่นกัน การกลับมาพม่าในหนนี้ อย่างคนปฎิบัติธรรม ฉันจึงต้องขอบคุณรัฐบาลเผด็จการของเขา ที่ทำให้ฉันเห็นโลกด้านในที่กว้างขวาง มีเสรีภาพ เกินกว่าสายตาสามัญจะมองเห็นได้


เสียงสวดมนต์ภาษาพม่าก้องกังวานมาจากอาคารปฎิบัติของคนท้องถิ่น ฟังคล้ายเสียงร้องเพลง ที่พอจะเข้าใจบ้างเมื่อบางตอนยังมีคำบาลีผสม ขณะนี้เวลาประมาณบ่ายสาม ฉันลงมาจากชั้นสองเพื่อมาดื่มน้ำ แล้วแว่บเข้าห้องนอน มาเขียนบันทึกที่ค่อนข้างยาวถึงเธอ


เสียงสวดมนต์ประสานเสียงฝูงอีกา ที่มีอยู่มากมายคล้ายบ้านเรามีนกกระจอก ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในป่าใหญ่ อารมณ์ไหลลื่นสู่อดีตอีกแล้ว


เธอจ๋า...


การงานด้านในเป็นงานหนักแต่มีความสุขล้ำลึก ไม่ลองไม่รู้จริงๆ นะเธอนะ

รักและคิดถึงเธอ
ฉันเอง

หมายเหตุ ภาพประกอบจาก http://www.traveladventures.org/
สนใจปฎิบัติธรรม ดู http://www.chanmyay.org