Skip to main content

หรือเราต่างเป็นผู้ก่อการร้าย!?

คอลัมน์/ชุมชน


1


เป็นที่สังเกตได้ว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลายประเทศทั่วโลกต่างหันมาพูดถึง หายนะภัยที่เกิดจากภาวะโลกร้อนกันมากขึ้นและถี่ขึ้น แน่นอนว่า ย่อมทำให้ฝ่ายหนึ่งตกเป็นจำเลย และกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาชาวโลกที่จ้องมองดูอย่างเคลือบแคลงสงสัย...



ล่าสุด ว่ากันว่า "จีน" ได้กลายเป็นผู้ร้ายอันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าสหรัฐฯ ไปแล้ว


เอพี รายงานว่า องค์กรที่ศึกษาระบบนิเวศวิทยาของนิวซีแลนด์แถลงว่า ประเทศจีน กลายเป็นประเทศที่ปล่อยสารคาร์บอนไดอ็อกไซด์ สาเหตุสำคัญของการเกิดปฏิกริยาเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุดในโลก คือ 7.5 เปอร์เซ็นต์ในปี 2006 แซงหน้าสหรัฐฯ ทั้งที่จีนเคยตามหลังอยู่สองเปอร์เซ็นต์ในปีก่อนหน้านั้น


ในรายงานยังชี้ความผิดไปที่ ไอเสียจากปล่องโรงงานในเมืองเซียงฝาน ตอนกลางของจังหวัดฮูเป่ยของจีน ที่ปล่อยสารคาร์บอนฯ มากเป็นพิเศษ


อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ออกมาโต้ทันควัน และกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การออกมาพูดแบบนี้เป็นความอยุติธรรม เพราะประเทศจีนอยู่ในฐานะเป็น "โรงงานของโลก" ประเทศอุตสาหกรรมจำนวนมากย้ายโรงงานมาอยู่ในประเทศจีน เพื่อผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคป้อนให้คนทั่วโลก


"ทางหนึ่ง พวกคุณมาเร่งผลิตสินค้าในประเทศจีน แต่อีกทางหนึ่งก็มาหาว่าประเทศจีนไม่สนใจลดการผลิตก๊าซเรือนกระจก"


โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน ยังกล่าวด้วยว่า หากเทียบกับจำนวนพลเมือง ซึ่งจีนมีมากถึง 1.3 พันล้านคนแล้วจะเห็นว่าคนจีนปล่อยสารคาร์บอนฯ แค่คนละ 10,500 ปอนด์ ขณะที่ชาวอเมริกันปล่อยสารคาร์บอนฯ สูงคนละ 42,500 ปอนด์


ในขณะที่ก่อนหน้านั้น สหรัฐฯ นั้นได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและถูกกล่าวหาว่า เป็นประเทศที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุดในโลก อีกทั้ง ก่อนหน้านั้น สหรัฐฯ ยังทำตัวเป็นเด็กดื้อไม่ยอมลงนาม "สนธิสัญญาเกียวโต" ว่าด้วยโลกร้อน จนทำให้ประชาคมโลกออกมาประณามว่า เป็นผู้ใหญ่ เป็นพี่เบิ้มทำผิดพลาดแล้วยังไม่ยอมออกมายอมรับ ปรับปรุงตัว และแก้ไขพฤติกรรมของตัวเองอีก


แต่ก็ใช่ว่าจะมีเพียงแต่ประเทศมหาอำนาจเท่านั้น ที่ได้ร่วมกันก่อปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้น ถ้าศึกษาถึงต้นตอสาเหตุของปัญหาภาวะเรือนกระจกกันอย่างจริงจังแล้ว จะพบว่า เราทุกคน- -ไม่ว่าชาติไหนๆ ในโลก ล้วนเป็นผู้ก่อให้เกิดปัญหานี้ขึ้นมาทั้งสิ้น


2


หรือว่านี่คือภาวะสงครามที่กำลังทำลายล้างมนุษยชาติบนดาวสีเงินดวงนี้อย่างแท้จริง...


อ่านคำพูดผ่านเครื่องสังเคราะห์เสียง ของ "สตีเฟน ฮอว์กิง" (Stephen W. Hawking) ในการประชุมของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกที่ได้ร่วมกันขยับ "นาฬิกาโลกาวินาศ" (Doomsday Clock) แล้วยิ่งรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง กับหนทางความอยู่รอดของมนุษย์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นั้นช่างเปราะบางเสียเหลือเกิน


dayvil ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ใน เวบไซต์ ไทยไรเตอร์ (24 มีนา 2550) ว่า สตีเฟน ฮอว์กิง บอกว่า หากน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและใต้ละลาย ภายใน 10 กว่าปีที่จะถึงนี้ เราลองคิดดูว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง!?

1.
อุณหภูมิ ที่เพิ่มขึ้น 1 องศา ทำให้ภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น 4-5 เท่าตัว (ตัวอย่างเช่นพายุ katalena)

ผลกระทบโดยตรงจากภาวะโลกร้อน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าในรอบ 40 ปี อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเพียง 0.6 หรือ 1 องศาเซลเซียส ได้ส่งผลต่อระดับความรุนแรงของภัยธรรมชาติเพิ่มขึ้น 4-5 เท่าตัว

2.
น้ำทะเลเพิ่มระดับขึ้นสูง เนื่องจากการละลายของน้ำแข็งที่มีฐานตั้งอยู่บนพื้นดิน เมืองใหญ่ๆที่ตั้งอยู่ไกล้แม่น้ำหรือทะเล และอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มาก จะต้องจมอยู่ใต้น้ำ เหตุการณ์นี้จะค่อยๆเกิดขึ้น ทำให้มีเวลาพอที่จะอพยพ แต่.....

3.
ฝนจะตกติดต่อกัน แบบไม่หยุด เป็นเดือนๆ (จากที่มีพระทำนายไว้ ตอนแรกผู้เขียน(dayvil) ก็ไม่เข้าใจว่าฝนจะตกติดต่อกันได้อย่างไร แต่หลังจากชม An Inconvenient Truth http://www.youtube.com/watch?v=_21b7mdJz2M จึงทำให้เข้าใจว่า อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้อัตราการระเหยของไอน้ำจากทะเลเพิ่มสูงขึ้นด้วย) น้ำจะท่วมไปทุกหนแห่ง จนไม่มีแม้กระทั่งเส้นทางให้อพยพ


4. ป่าไม้เขตร้อน ที่อยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จะถูกทำลายเพราะโดนน้ำท่วม ปอดของโลกจมน้ำเสียแล้ว แหล่งผลิตอาหารแห่งใหญ่ของโลกถูกทำลาย แม้จะมีผู้รอดชีวิตไปได้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ แต่ก็จะพบกับภาวะขาดแคลนอาหารและโรคระบาดอย่างรุนแรง


หากคนที่ประสบกับสภาวะเช่นนั้นแล้วไม่มีจิตใจที่เข็มแข็งพอ รวมทั้งน้ำใจที่จะแบ่งปันผืนแผ่นดินให้เหยียบ หรืออาหาร ในภาวะที่ไร้กฎหมาย สามารถทำให้คนกลายเป็นสัตวนักล่าที่์เลือดเย็น ได้อย่างไม่น่าเชื่อ กฎหมู่และการทำร้ายกันเองของมนุษย์ จะให้ผู้รอดชีวิตมีน้อยลง   

5.
ภัยพิบัติ ยังไม่จบอยู่แค่นั้น การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ทำให้การไหลเวียนของกระแสน้ำอุ่น และกระแสน้ำเย็น อยู่ในภาวะที่ไม่เสถียรภาพ หรือถึงขั้นหยุดไหลได้ โลกทำจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งภายในระยะเวลาไม่กี่ปี


3


"โลกร้อนสุดๆ จริงเหรอ..."


"ถ้าเกิดวิกฤติจริงๆ คนจะไม่รอด หลงเหลืออยู่ในโลกเลยใช่มั้ย"


ใครหลายคนอาจตั้งคำถามและสงสัยแบบนี้


แหละนี่คือคำตอบของ "ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์"


"...คุณอาจสงสัย โลกจะร้อนสุดจริงเหรอ ไม่มีสักครั้งเหรอที่โลกร้อนกว่านี้ คำตอบคือมีครับ ในยุคครีเทเชียส เมื่อร้อยล้านปีก่อน โลกร้อนกว่าปัจจุบันตั้ง 10 องศา แต่สัตว์หลายชนิดก็ยังรอดมาได้ โลกไม่ได้แตกสักหน่อย


ไม่แตกหรอกครับ แต่ยุคนั้น ประเทศอเมริกาถูกแบ่งเป็นสอง น้ำท่วมทะลุเกินกรุงเทพขึ้นไปถึงนครสวรรค์ ถึงกระนั้น ในความเชื่อของผม มนุษย์คงไม่ตายหมดหรอกครับ เพราะเราก็ใช่ย่อย ขนาดยุคน้ำแข็งที่ว่าเจ๋งเมื่อหลายปีก่อน คนเรายังทุบหัวช้างแมมมอธ เอาตัวรอดมาได้เลย เราย่อมรอดต่อไป โดยมีข้อแม้นิดหนึ่ง คือ เราไม่ได้ตีหัวเฉพาะช้างแมมมอธ เรายังตีหัวพวกเดียวกันเองด้วยครับ


ปัญหาของภาวะโลกร้อน ไม่ใช่มนุษย์สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ ทว่า...จะหมายถึงการสิ้นยุคแสนสบาย เพราะคำว่า "รอด" ไม่ได้หมายความว่ารอดกันทุกคน และรอดแล้ว ไม่ได้สบาย พื้นดินเหลือน้อย อาหารเหลือน้อย โรคระบาดเพียบ และอีกอย่างที่เพียบแน่คือ...สงคราม


คำคาดการณ์นี้ ไม่เกินจริงแน่ ขนาดเราอยู่ในยุคดินดำน้ำชุ่ม ยังเกิดสงครามโน้นนี้อยู่เนือง ๆ ถ้าถึงยุค"กระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม"อภิมหาอมตะโคตรสงครามย่อมเกิดขึ้น ถึงเวลานั้น ตายอาจดีกว่ารอด..."


4


ผมนั่งนิ่งอ่านข้อมูล คำบอกเล่าของแต่ละคนแล้ว อดครุ่นคิดไปต่างๆ นานา...


อะไรคือสาเหตุทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ภาวะเรือนกระจก หรือ กรีนเฮ้าส์ ที่แท้จริง!?


…โฟม...พลาสติก ขอนไม้ หญ้าไหม้ ไฟไหม้ฟาง มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ เครื่องจักร ท่อไอเสีย โรงงาน โรงไฟฟ้าถ่านหิน เทคโนโลยี ความเจริญ ความทันสมัย กิเลส หรือความอยากของมนุษย์ ฯลฯ


"ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์" บอกว่า ระบบทุนนิยม คือตัวกระตุ้นการใช้พลังงานเพื่อผลกำไร หรือเพื่อการผลักดันเศรษฐกิจของโลกทุนนิยม ล้วนแต่เป็นสาเหตุของปัญหาโลกร้อนอย่างที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้


ถ้าเป็นเช่นนั้น หมายความว่า เรา- -หมายถึงชาวโลก(ทุนนิยม)ทั้งหลาย คือผู้ร่วมกันก่อปัญหานี้ขึ้นมาร่วมกันใช่หรือไม่!?


...หรือว่าเราล้วนต่างเป็นผู้ก่อการร้ายที่กำลังทำลายล้างโลกใบนี้!?...


ที่มาของข้อมูล
-ไทยทาวน์ยูเอสเอนิวส์
- dayvil จากเวบไซต์ ไทยไรเตอร์ 24 มี.. 2550
-
ผู้จัดการออนไลน์ 24 มิ..2550