Skip to main content

บัวสีเทา: อดีตในความทรงจำ (2)

คอลัมน์/ชุมชน

เที่ยวครั้งแรก

ไม่รู้ว่าผมไปสนิทกับพี่บัวได้อย่างไร เพราะตอนที่เจอกันครั้งแรกไม่มีทีท่าและวี่แววเลยว่าจะมารู้จักสนิทสนมกัน เพราะผมมีอะไรที่ต่างจากพี่บัวอยู่มาก


คิดดูว่า เสื้อผ้าที่ใส่ก็เสื้อยืดกางเกงยีน รองเท้าผ้าใบสีขาวเก่าๆ ผมสั้นกระจิดริด ไม่ได้สัก ไม่ได้เจาะ เหมือนพี่ๆ ที่เที่ยวสักนิด แต่กลับได้ไปไหนมาไหนกับพี่บัว ทั้งที่การแต่งตัวคนละอย่างกับผมเลยก็ว่าได้


ช่วงแรกๆ ที่รู้จักกลุ่มของพี่บัว พี่ๆ ก็มักจะโทรศัพท์มาชวนไปเที่ยวผับด้วยกัน


บอกตามตรงว่า ผมไม่เคยคิดว่าจะเที่ยวแบบนี้เลย อายุก็ไม่ถึงเกณฑ์ แถมมีแต่กลิ่นบุหรี่ ต้องดื่มเหล้า ซึ่งมันไม่ตรงกับชีวิตที่ผมเป็นเอาเสียเลย ผมไม่ดื่ม ไม่สูบ


แต่พอไปเที่ยวจริงๆ เรื่องอายุไม่เป็นไร ยืมบัตรประชาชนคนอื่นที่หน้าคล้ายกันไปให้ยามหน้าร้านได้ ส่วนเหล้า บุหรี่ ก็เริ่มชิน เพราะเริ่มดื่มเหล้ามากขึ้น จากที่ดื่มช่วงแรกไม่กี่แก้ว ก็ต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้น พอกินไปก็เริ่มสนุก เต้นไปตามจังหวะเสียงเพลง มีสาวๆ มากมาย มาชนแก้วด้วย ตอนแรกๆ ก็อาย ไม่กล้าชน เพราะไม่ชอบ แต่พอเหล้าเข้าปาก วาจาก็เริ่มเปล่งเสียงเป็นสำเนียงจีบสาว บางคนก็ให้เบอร์โทรศัพท์ บางคนก็ไปเที่ยวด้วยกันต่อ แต่ไม่เคยจบลงด้วยกิจกรรมบนเตียง


จะมีก็แต่พี่ๆ ที่ชอบจริงๆ พี่บางคนไปเที่ยวคืนหนึ่งก็ได้สาวไปนอนด้วย บางคนก็แค่ไปเที่ยวเล่น เต้น ดื่มอย่างเดียว เรื่องสาวสำคัญมาก เพราะพี่บัวย้ำนักย้ำหนาว่าต้องป้องกันด้วยการใช้ถุงยางอนามัย และเพื่อนๆ พี่บัวก็ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง จะมีน้อยคนมากที่ไม่ใช้ แต่คนในกลุ่มจะบอกจะเตือนกันอยู่เสมอ


ในแต่ละคืนที่ไปเที่ยว พวกเราจะไปกันประมาณ 3–4 ทุ่ม บางคนอาจไปเที่ยวร้านเหล้าเล็กๆ ระหว่างทางก่อน พออุ่นเครื่อง แล้วไปเที่ยวต่อในผับที่อยากไป มีหลายแบบ ยิ่งปัจจุบันมีการแยกไปเลยว่า ถ้าเป็นชายรักชายจะเที่ยวที่ไหน สาวมหาวิทยาลัยนี้จะเที่ยวไหน ที่ไหนโลโซ ที่ไหนไฮโซ ที่ไหนเปิดเพลงสนุก ที่ไหนวงดนตรีเล่นเพราะ จะมีการแบ่งไว้ แล้วแต่ใครชอบไม่ชอบได้เลือกไป ตามใจอยาก


บางวันที่รุ่งเช้าผมต้องไปทำงาน ก็ต้องกลับจากการเที่ยวประมาณเที่ยงคืน เพราะจะได้มีเวลาพักผ่อน บางคืนก็มีโต้รุ่งถึงเช้าแต่จะเป็นในคืนที่อีกวันไม่ได้ทำงาน หรือเป็นวันหยุด


เที่ยวกลางคืนช่วงแรกๆ พี่จะเลี้ยงเหล้าและกับแกล้มหรือมิกเซอร์ บางที่มิกเซอร์จะแพงหรือถูกต่างกัน บางที่จะมีโปรโมชั่นให้เลือกว่าเปิดเหล้าช่วงนี้กี่คนได้ส่วนลด หรือเปิดก่อนกี่โมงได้ส่วนลด แตกต่างกันไป – พี่ๆ จะเลี้ยงเหล้า ส่วนผมจะดูแลเรื่องที่พักถ้าใครจะนอนค้างคืน เพราะผมค่อนข้างโชคดีที่อยู่บ้านเช่าหลังไม่กี่พันบาท จึงมีห้องว่างห้องหนึ่งที่เหมาะสำหรับพี่ๆ หรือเพื่อนที่จะมานอนค้างคืนต่อจากการเที่ยวเสร็จ


เที่ยวครั้งแรก อะไรๆ ก็ต้องเรียนรู้จากพี่ๆ ทั้งเทคนิคการจีบสาว การชงเหล้าผสมมิกเซอร์ต่างๆ หรือแม้แต่การป้องกันตัวไม่ให้เกิดการชกต่อยกัน พี่ๆ จะแนะนำ แล้วบอกว่าถ้าอยากทำอะไรเป็นก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง


พี่บัว เป็นคนรอบนอกตัวเมืองเชียงใหม่และมักนอนค้างที่บ้านเช่าของผมอยู่บ่อยๆ นี่อาจเป็นเหตุที่ทำให้สนิทกับพี่บัวมากกว่าคนอื่นๆ ในกลุ่ม และอีกอย่างพี่บัวก็คอยแนะนำว่าถ้าจะเก็บข้อมูลเรื่องนั้นเรื่องนี้ควรจะไปถามใคร แล้วจะเข้าหาเขาอย่างไร ซึ่งผมได้รับคำแนะนำที่ดีต่างๆ จากพี่บัวมากทีเดียว


รวมทั้งการเที่ยวแต่ครั้งที่เที่ยวอย่างไร ให้รู้ตัว มีสติ ไม่เมาจนดูแลตัวเองไม่ได้


ความฝันของพี่บัว


พี่บัว เรียนไม่จบชั้นม.6 เพราะที่บ้านจับได้ว่าเล่นยา แล้วครูก็เชิญให้ออกจากโรงเรียน ชีวิตของพี่บัวเริ่มจะเกเรมาตั้งแต่เรียนอยู่ ม.2 เพราะรู้จักกับเพื่อนรุ่นพี่ พากันเที่ยวไปมา เริ่มดื่มเหล้าบ่อยขึ้นๆ และบางวันก็ไม่ค่อยกลับไปนอนบ้านแต่จะค้างคืนที่บ้านเพื่อนมากกว่า


พ่อพี่บัวเป็นตำรวจ ส่วนแม่เป็นครูสอนนักเรียนชั้นม.4โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ ส่วนน้องสาวพี่บัวก็อายุห่างกันประมาณ 3 ปี ตอนเด็กๆ พี่บัวจะน่ารักมากๆ คือ พูดครับ อ่อนน้อมตลอด พ่อและแม่จะเอาใจใส่เสมอ อยากได้อะไรก็ให้ได้ ถ้าเถียงกันก็จะคุยแบบมีเหตุมีผล


แต่พอเรียนมัธยมได้สองปี ก็เริ่มเปลี่ยน ตั้งแต่ตามเพื่อน ไม่กลับบ้าน


พี่บัว บอกว่าเคยลองยามาแล้วทุกอย่าง แต่ไม่ติด ที่ติดก็คงจะมีอยู่สองอย่างคือ "บุหรี่" กับ "เหล้า" เพราะเริ่มดื่มและสูบมาตั้งแต่ ม.3 พอขึ้น ม.4 ยิ่งเริ่มเปลี่ยนมากขึ้น คือไม่กลับบ้านเป็นอาทิตย์ก็มี มาเรียนก็ไม่เรียนเต็มเวลา แล้วถูกเปลี่ยนย้ายโรงเรียนเทอมหนึ่งประมาณ 4 ที่ตอนอยู่ ม.4 เพราะเรียนที่ไหนได้ไม่นาน เนื่องเพราะมีเรื่องทะเลาะกับนักเรียนรุ่นพี่


พอ ม.6 ก็กลับมาเล่นยาอีกครั้ง แล้วโดนที่บ้านจับได้ เลยถูกพ่อไล่ออกบ้าน ถึงขั้นตัดพ่อลูกกัน


"พอพ่อรู้ก็ถูกต่อว่าแรงมาก พ่อบอกว่ามึงเป็นลูกกูแล้วมาทำอย่างนี้อย่างมาเป็นพ่อลูกกันเลย พ่อพี่พูดแรงมาก แม่ก็ร้องไห้ น้องสาวก็ร้องไห้ พี่ไม่รู้จะทำยังไง เลยหอบเสื้อผ้าที่จำเป็นออกจากบ้านตั้งแต่วันนั้นมา" พี่บัวเล่าถึงความหลัง ในตาเหมือนจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา


ผมไม่ได้ถามว่า ทำไมพี่บัวไม่กลับบ้าน และทำไมต้องออกมาอยู่คนเดียวตั้ง 2 ปีกว่าแล้ว แต่พี่บัวก็บอกเหมือนจะรู้ว่าผมจะถามอะไร "พี่ไม่กลับ เพราะอยากพิสูจน์ให้พวกเขารู้ว่า พี่ดูแลตัวเองได้ พี่เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบพอ ทำอะไร พี่ต้องชดใช้ในสิ่งที่พี่ทำ พวกท่านเคยเลี้ยงดูมา ตอนนี้พี่ขอดูแลตัวเองแล้วถ้าถึงเวลาที่พี่อยู่ตัว พี่จะชดใช้พระคุณพวกท่านเอง"


ทุกวันนี้พี่บัว ทำงานรับจ้างทั่วไป ตั้งแต่รับเขียนป้ายโฆษณา ล้างจาน เด็กเสริฟในผับ พนักงานต้อนรับคาราโอเกะ ร้องเพลงกับวงดนตรี จัดสถานที่โต๊ะจีน ฯลฯ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่จะมีคนจ้างหรือมีงานเข้ามา


พี่บัวจึงมีคนรู้จักเยอะ ทั้งคนที่เที่ยวและไม่เที่ยวกลางคืน


ผมก็เหมือนกับพี่บัว ที่มีคนรู้จักเยอะทั้งที่เที่ยวและไม่เที่ยวกลางคืน


อีกอย่างพอคุยไปคุยมา และเริ่มสนิทกับพี่บัว (ในช่วงเวลาไม่ถึงเดือน) ก็คิดว่ามองพี่บัวผิดไป เพราะทีแรกตอนที่เจอกันใหม่ๆ ผมกลัวพี่บัวมาก เพราะหน้าตาดุ และน่าเกรงขาม ดูโหดๆ แต่เอาเข้าจริงพอรู้จักมากขึ้น ก็รู้ว่า พี่บัวเป็นคนพูดตรง คือในใจไม่มีอะไร ไม่คิดอาฆาตใคร จริงใจและมีน้ำใจกับเพื่อนๆ และน้องๆ ไม่ได้ร้ายอย่างที่ใครๆ กล่าวขานกัน


ความฝันที่พี่บัวตั้งใจไว้คือ เก็บเงินไว้ในบัญชีส่วนตัวเพื่อให้ครอบครัวได้เอาไปใช้ตอนที่เขาตายจากไป เพราะเขาคิดว่าเป็นการช่วยเหลือทางบ้าน และตอบแทนคุณที่พ่อแม่เลี้ยงมา


"ความฝันของพี่เหรอ พี่ว่าโง่นะ ฟังแล้วแกอาจไม่เชื่อ คือพี่อยากให้เงินที่เก็บไว้นี้ ให้ทางบ้าน เอาไว้ใช้ ส่งน้องเรียน ให้น้องมีอนาคตที่ดีกว่าพี่ เพราะพี่ทำผิด ทำไม่ดีกับพ่อและแม่เยอะ เราทำให้เขาได้ตอนที่เรายังเป็นคนก็ดีแล้ว"


ผมสงสัยว่ามีเงินเก็บได้อย่างไร เพราะเวลาเที่ยวพี่บัวมักจะหมดเงินไปหลายบาท


"ที่แกเห็นพี่จ่ายทุกวันนี้ พี่ก็มีเงินเก็บนะโว้ย มีเท่าไหร่เก็บไว้ส่วนหนึ่ง อย่ากินหมด แกจะกินเหล้าหรือให้เหล้ากินแก แกจะเก็บเงินหรือให้เงินเก็บแก มันต้องวางแผนกันหน่อย"


นอกจากที่แกฝันที่จะเก็บเงินให้ทางบ้านใช้แล้ว มีอีกฝันที่เหมือนตลกแต่ร้ายในความรู้สึก พี่บัวบอก -อยากรู้วันตายของตัวเอง


อยากรู้ว่าตายวันไหน! แล้วอยากให้คนที่รู้จักพี่บัว หรือที่พี่บัวรู้จัก มางานศพให้มาก เพราะพี่บัวจะมีบันทึกเล่มหนึ่งที่เขียนถึงคนที่รู้จักและรู้จักพี่บัวไว้เกือบทุกคน


"ถ้าวันนั้น เรายังรู้จักกัน ก็เอาบันทึกพวกนี้พิมพ์เป็นเล่มดีๆ เอาแจกคนที่มางานศพพี่ด้วยนะ พี่อาจเจอใครแค่แป๊บเดียว แต่พี่เขียนถึงพวกเขาตลอด เขียนมากน้อยคละกันไป ใครดีกับพี่ ใครไม่ดี ใครเป็นยังไงพี่รู้สึกยังไงกับเขาพี่จะเขียนเก็บไว้ แต่ขอว่าอย่าให้ใครเปิดอ่านนะ ไว้พี่ตายวันไหนพี่จะบอก แล้วค่อยเปิดอ่าน" พี่บัวพูดติดตลก แต่ผมกับแปลกใจในความตั้งใจของรุ่นพี่ที่มีต่อคนที่เขารู้จักว่าทำไมจะต้องทำมากมายขนาดนี้


"ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยหละ" ผมสงสัย "ไม่มีเหตุผล พี่อยากทำ มันเป็นของมันเอง พี่อยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีเหตุผล มันเป็นของมันเอง" หนุ่มรุ่นพี่อธิบาย


"เออ..ก็ว่า ขนาดบ้านเช่าอยู่นอกเมืองยังมาเที่ยวในเมืองบ่อยๆ ไม่กลับบ้านเลย พี่อ่ะแน่จริงๆ"


"อืม...เอาเป็นว่า พี่เล่าให้แกฟังหลายๆ เรื่อง แกอย่าไปบอกใครนะ พูดไปแล้วอายหว่า ไม่รู้จะมาเล่าให้แกฟังทำไม งง รู้แล้วเหยียบไว้ ถ้าใครรู้พี่โกรธจริงๆ น่ะ" พี่บัวเตือน


นับแต่ฟังเรื่องที่พี่บัวเล่ามา ผมก็เก็บไว้เป็นความลับ ไม่บอกให้ใครรับรู้เลย เพราะขนาดผมเองยังลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่พอได้เห็นบันทึกเล่มเล็กๆ ของพี่บัวเมื่อไหร่ ก็จำได้ขึ้นมาในบัดดล