Skip to main content

นักรบแห่งตันตระ (๔): นาโรปะ จากพระนักปราชญ์สู่มหาสิทธา

คอลัมน์/ชุมชน

เรจินัลด์ เรย์ เขียน
วิจักขณ์ พานิช แปล



หากตัดสินกันอย่างผิวเผินแล้ว คนบ้าๆ บอๆ อย่างทีโลปะคงไม่สามารถอบรมสั่งสอนใครให้รู้แจ้งขึ้นมาได้ แต่ที่น่าทึ่งก็คือ ศิษย์เอกของทีโลปะคือ นักปราชญ์มหาบัณฑิตนาโรปะผู้เลื่องลือ


นาโรปะโตมาในครอบครัววรรณะกษัตริย์ โดยเขาถือเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลเลยก็ว่าได้ บิดามารดาต่างก็คาดหวังให้นาโรปะแต่งงานมีครอบครัว และสืบทอดอำนาจและทรัพย์สมบัติของครอบครัวต่อไป นาโรปะทำตามความคาดหวังดังกล่าว แต่งงานมีครอบครัวไปได้นานถึงแปดปี จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจที่จะออกบวชจากโลกียวิสัย เขาได้แยกทางกับภรรยาเพื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ใช้ชีวิตสมณะ ศึกษาพระธรรมอยู่ในมหาวิทยาลัยพุทธที่มีชื่อเสียงอย่างนาลันทา


นาโรปะใช้เวลาหลายปีศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัยจนทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าจะเป็นในคัมภีร์พระไตรปิฎก ทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม คัมภีร์ปรัชญาปารามิตาสูตรของฝ่ายมหายาน รวมถึงคำสอนในขั้นของตันตระ จนในที่สุดเขาได้ถูกเลือกให้เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยนาลันทา ทุกคนรู้จักนาโรปะในฐานะพระนักปราชญ์มหาบัณฑิตที่เก่งกาจที่สุด


วันหนึ่ง ขณะที่นาโรปะกำลังนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับหลักปรัชญาและตรรกะ อยู่บนสนามหญ้าภายในมหาวิทยาลัยนาลันทา เงามืดได้ทอดผ่าน นาโรปะจึงผละจากหนังสือแล้วหันไปมองเงาอันน่าสะพรึงกลัวนั้น เขาได้เผชิญหน้ากับหญิงแก่ ผิวหม่นคล้ำเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตาสองข้างสีแดงที่จมฝังอยู่ในเบ้าตาอันเหี่ยวย่น ผมสีน้ำตาลจางๆสลับหงอกขาว ริมฝีปากเหี่ยวย่นและบิดเบี้ยว กับฟันที่ผุเน่าเหม็น เธอเดินกระเผลกๆ ด้วยไม้เท้าเก่าๆ เข้ามาหานาโรปะ

จากนั้นเธอจึงเอ่ยถามว่า "เจ้ากำลังอ่านอะไรอยู่" นาโรปะตอบไปว่าเขากำลังคร่ำเคร่งอยู่กับหนังสือหลักปรัชญาพุทธศาสนาอันลึกล้ำ หญิงแก่จึงถามต่อไปว่า "เจ้าเข้าใจตัวอักษรหรือเข้าใจความหมายที่แท้" นาโรปะจึงตอบไปว่าเขาเข้าใจทุกประโยค ทุกตัวอักษรที่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนั้นเป็นอย่างดี หญิงแก่ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ เต้นรำควงไม้เท้าไปมาอย่างลิงโลด นาโรปะเห็นเธอมีความสุขเช่นนั้น จึงบอกเธอเพิ่มไปว่า เขามีความเข้าใจในความหมายที่แท้ของมันด้วย แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงแก่ก็เริ่มตัวสั่นเทา ร้องไห้ สะอึกสะอื้น แล้วทรุดฮวบลงไปกับไม้เท้าเก่าๆ ด้ามนั้น นาโรปะเห็นเช่นนั้นจึงถามหญิงแก่ถึงสาเหตุที่ทำให้อารมณ์ของเธอเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน เธอจึงบอกนาโรปะไปว่า "เมื่อนักปราชญ์มหาบัณฑิตอย่างเจ้ายอมรับว่า เจ้าเข้าใจเพียงความหมายตามตัวอักษรของหลักธรรมะที่เจ้าอ่าน เจ้าพูดความจริง อันทำให้ข้ามีความสุข แต่เมื่อเจ้าโกหกว่าเจ้าเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของหลักธรรมนั้นๆ มันทำให้ข้ารู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก"


นาโรปะได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เขารู้แก่ใจว่าสิ่งที่หญิงแก่พูดเป็นความจริงทุกประการ แรงบันดาลใจแห่งการค้นหา "ความหมายแห่งชีวิตที่แท้" ได้ผุดบังเกิดขึ้นในใจ เขาจึงได้ถามหญิงแก่ไปว่า "แล้วใครกันที่เข้าใจความหมายที่แท้ แล้วฉันจะสามารถรู้แจ้งในความหมายที่ว่านั้นได้ด้วยวิธีการใด" หญิงแก่ยกไม้เท้าชี้ไปที่ป่าทึบพร้อมกล่าวว่า "เขาผู้นั้นคือ "น้องชาย"ของข้า จงออกเดินทางตามหาด้วยตัวเจ้าเอง แสดงความเคารพ แล้วขอให้เขาสอนความหมายที่แท้แห่งธรรมะให้แก่เจ้า" พอกล่าวจบทาคิณีในคราบหญิงแก่อัปลักษณ์ก็หายตัวไปในบัดดล "ราวกับเงารุ้งในฟากฟ้า"

เราอาจจะปฏิเสธความน่าเชื่อถือของตำนานที่ว่านี้ เพราะมันออกจะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินกว่าที่จะจริงจังไปกับมัน โดยเฉพาะคนที่มีชื่อเสียงและความสำเร็จอย่างนาโรปะด้วยแล้ว ออกจะเป็นเรื่องง่ายที่จะหันกลับไปยึดมั่นกับความสำเร็จทางโลกที่เขาสั่งสมมาอย่างที่ไม่จำเป็นจะต้องไปให้ความสำคัญกับคำพูดของคนแปลกหน้าอย่างหญิงแก่นางนั้น แต่ในกรณีของนาโรปะ วินาทีนั้นบ่งบอกถึงบางสิ่งบางอย่างในตัวเขาที่อยู่เหนือความคับแคบของอัตตา อันเป็นสิ่งที่เขาโหยหามานานแสนนาน เขาพร้อมที่จะอุทิศชีวิตที่เหลือของเขาในการค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ที่แท้ นาโรปะจึงตัดสินใจประกาศลาออกต่อหน้าที่ประชุมของเหล่าพระนักปราชญ์ทั้งหลาย เพื่อออกเดินทางตามหาบุคคลที่เขาแทบจะไม่รู้แม้กระทั่งความจริงที่ว่า "น้องชาย" ของหญิงแก่ที่ว่านั้นมีชีวิตอยู่บนโลกนี้จริงๆ หรือไม่


พระสงฆ์ที่นาลันทาต่างก็คิดว่านาโรปะได้เสียสติไปแล้ว พวกเขาพยายามหว่านล้อมนาโรปะให้หันกลับมาให้คุณค่ากับวิถีชีวิตของพระสงฆ์ที่ต่างเพียบพร้อมไปด้วยการศึกษาและศีลจรรยาที่สูงส่ง อันแสดงถึงเป้าหมายที่ชัดเจนของพุทธศาสนา ความคิดที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่านั้นจึงถูกมองเป็นบาปหนักต่อโพธิ์ใหญ่แห่งพุทธธรรมที่งอกงาม


เหล่าเพื่อนๆ ของนาโรปะต่างช่วยกันทุกวิถีทาง ให้นาโรปะได้หวนคิดถึงช่วงเวลาและสิ่งต่างๆ ที่เขาได้ทุ่มเทไปกับการศึกษาร่ำเรียน หน้าที่การงานในมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งชื่อเสียงเกียรติยศที่เขาได้สั่งสมมาในฐานะนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ อันไม่ควรถูกทิ้งขว้างอย่างง่ายดายด้วยเช่นนี้ กษัตริย์ในมณฑลนั้นจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และหากนาโรปะยืนยันต่อการตัดสินใจครั้งนี้ ก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ชื่อเสียงทั้งหมดของเขาจะถูกทำลายป่นปี้ อย่างไม่มีทางจะเรียกคืนกลับมาได้เหมือนเก่า


อย่างไรก็ดี นาโรปะไม่ได้หวั่นไหวไปกับคำขู่เหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เขาสละหนังสือและพระคัมภีร์ทั้งหลายทิ้งไปอย่างไม่เสียดาย หยิบเพียงบาตร ย่ามและสิ่งของติดตัวไม่กี่อย่าง แล้วมุ่งหน้าไปยัง "ทิศตะวันออก" สู่ป่าทึบสลับกันทะเลทรายผืนกว้าง เพื่อตามหาคุรุของเขา


นาโรปะพบว่าการเดินทางแสวงหาอาจารย์ของเขาเต็มไปด้วยความยากลำบาก ความสับสน และความท้อแท้ สิ้นหวัง หลายต่อหลายครั้งที่เขาพบกับเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่นาโรปะคิดไปว่ามันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการตามหาอาจารย์ของเขา แต่กลับมาตระหนักได้ในภายหลังว่าเหตุการณ์เหล่านั้นคือร่องรอยการปรากฏตัวของทีโลปะ ดูเหมือนยิ่งเดินท่องไปมากเท่าไร นาโรปะก็ยิ่งต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคภายในจิตใจของเขาเองมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหลักธรรมะที่มีอยู่เต็มหัว ความหลงทนงตนที่ถูกสะสมมาตลอดช่วงเวลาของการร่ำเรียน และความอวดดีว่าตัวเองนั้นเข้าใจถึงความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ ในที่สุดนาโรปะก็มาถึงจุดที่เขารู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทนกับการพยายามตามหาทีโลปะ จิตของเขาทั้งฟุ้งและวิ่งวุ่นอย่างไม่มีหยุดพัก ร่างกายรู้สึกราวกับจะระเหิดหาย ส่วนจิตใจก็ตกสู่ภาวะสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด โชคชะตาดูเหมือนจะกำลังเล่นตลกกับเขา ชีวิตเก่าก็ได้โยนทิ้งไปหมดสิ้น ส่วนชีวิตใหม่ตามหาเท่าไรก็ไม่มีที่ท่าว่าจะพบ


ในขณะที่รู้ดีว่า เขาคงไม่มีทางหวนกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าได้อีก หนทางข้างหน้าก็ดูจะเต็มไปด้วยอุปสรรคที่กีดขวางการค้นพบศักยภาพภายในตัวเขา ความสิ้นหวังได้พานาโรปะมาถึงจุดที่เขาเชื่อว่า คงเป็นเพราะบาปกรรมที่เขาได้ทำไว้ในอดีตชาติ ที่ทำให้ชาตินี้เขาคงไม่มีทางที่จะได้พบกับคุรุที่เขาเฝ้าตามหา เขาจึงตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย นาโรปะได้หยิบมีดขึ้นมาแล้วเตรียมที่จะปาดคอตัวเอง


ทันใดนั้น ทีโลปะในร่างของชายผิวน้ำเงินคล้ำได้ปรากฏตัวต่อหน้านาโรปะ ทีโลปะบอกกับนาโรปะว่า "ตั้งแต่วินาทีที่เจ้าตัดสินใจออกเดินทางตามหาคุรุ ข้าได้อยู่เคียงข้างเจ้าตลอดเวลา เป็นเพียงเพราะกิเลสตัณหาพรางตาไม่ให้เจ้าเข้าใจความจริงในข้อนี้ แต่กระนั้นเจ้าก็ดูจะเป็นภาชนะที่คู่ควรต่อสายธารธรรม ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถรับการถ่ายทอดคำสอนสูงสุดได้ ดังนั้นข้าจึงยินยอมที่จะรับเจ้าเป็นศิษย์"


ช่วงเวลาสิบสองปีหลังจากนั้น นาโรปะผู้ได้กลายเป็นศิษย์ของทีโลปะ ได้ผ่านกระบวนการฝึกฝนที่ยากลำบากเหลือประมาณ ทีโลปะได้ให้แบบทดสอบทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ความเข้มข้นของกระบวนการฝึกได้แสดงถึงความใส่ใจและความเข้าใจที่ทีโลปะมีต่ออุปสรรคภายในที่นาโรปะสะสมมาในอดีต แต่ละถ้อยคำสอนดูเหมือนจะบาดลงไปยังตัวตนของนาโรปะอย่างไม่ปรานี จนหนีไม่พ้นกับความรู้สึกที่ว่าการกระทำของทีโลปะดูช่างไร้ศีลธรรม และได้ทำร้ายชีวิตและจิตใจของศิษย์ผู้นี้อย่างเลวร้ายที่สุด แต่กระนั้นทีโลปะก็ได้เผยให้นาโรปะได้เห็นการดำรงอยู่ของชีวิตที่เป็นอิสระ กว้างใหญ่ ใสชัด ประภัสสร อันเป็นคุณลักษณะที่ก้าวพ้นทวินิยมถูกผิดและการเกิดดับของอัตตาที่คับแคบ ตลอดช่วงเวลาที่ว่านี้ทีโลปะแทบจะไม่ได้พูดสอนอะไรมากมาย คำสอนที่นาโรปะได้รับเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่ไม่ต้องการคำอธิบาย เป็นประสบการณ์ตรงของความทุกข์ ความเจ็บปวด รวมถึงการกระทำที่ดูไร้ความหมายแต่กลับมีนัยให้เขาได้ลองปฏิบัติตาม การเดินทางของนาโรปะดูจะปราศจากความปลอดภัย และคำยืนยันใดๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถยืนหยัด อดทน ด้วยความศรัทธาต่อตันตราจารย์ทีโลปะอย่างไม่สั่นคลอน นาโรปะไม่เคยมีความคิดที่จะย้อนกลับไปสู่ทางเลือกอื่น เพราะเขาตระหนักดีว่าเส้นทางชีวิตของเขาดูจะไม่มีทางเลือกอีกต่อไป


สิบสองปีผ่านไป วันหนึ่งขณะที่นาโรปะกำลังยืนอยู่กับทีโลปะกลางพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง ทีโลปะกล่าวว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะส่งทอดสายธรรมอันลึกล้ำให้แก่นาโรปะ ผ่านคำสอนปากเปล่าที่ใครๆ ต่างก็ปรารถนา เมื่อทีโลปะถามถึงเครื่องบรรณาการ นาโรปะผู้ซึ่งไม่หลงเหลือของมีค่าติดตัวจึงตัดสินใจมอบนิ้วมือและเลือดของเขา ดังที่ลามะธารนารถกล่าวไว้ว่า

"
หลังจากทีโลปะได้เก็บรวบรวมนิ้วมือของนาโรปะ ทันใดนั้นทีโลปะก็ถอดรองเท้าแตะออกมาฟาดหน้าศิษย์ของเขาอย่างแรง จนนาโรปะล้มหมดสติไป พอตื่นขึ้นมานาโรปะก็ได้พบกับสัจธรรมสงสุด อันได้แก่ ความเป็นเช่นนั้นเองของสรรพสิ่ง นิ้วมือของเขาถูกต่อกลับอย่างไม่มีร่องรอยของบาดแผล ณ วินาทีนั้นเขาได้รับการส่งทอดคำสอนปากเปล่าอันเป็นหัวใจแห่งสายธรรมเดิมแท้ นาโรปะได้กลายเป็นเจ้าแห่งเหล่าโยคี"


นาโรปะได้รับการถ่ายทอดหัวใจคำสอนแห่งมหามุทราจากทีโลปะ รวมถึงโยคะทั้งหก และอนุตตรโยคะตันตระ จนท้ายที่สุดเขาได้กลายเป็นสิทธาผู้รู้แจ้งในสายการปฏิบัติที่สืบทอดมาจากอาจารย์ของเขา บ่อยครั้งที่ผู้คนเห็นนาโรปะเดินท่องไปอย่างไร้จุดหมายในป่าทึบ บ้างก็สะพายธนูออกล่ากวาง บ้างก็อยู่ในกามามุทรา บ้างก็ราวกับเด็กน้อยกำลังเล่นสนุก หัวเราะ สะอื้นไห้


ในฐานะตันตราจารย์ผู้รู้แจ้ง นาโรปะรับศิษย์เข้าฝึกกับเขา และแม้พฤติกรรมของเขาจะดูประหลาดพิลึกในมุมมองคนทั่วไปสักเพียงไร นาโรปะก็ได้แสดงถึงพลังแห่งการตื่นรู้เหนือหลักการ เปี่ยมด้วยปัญญาญาณ ความรัก ความเมตตา และพลังแห่งจิตอันลึกล้ำเหนือคำบรรยาย อีกด้านหนึ่งนาโรปะยังคงความเป็นนักปราชญ์ผู้สามารถประพันธ์งานเขียนในขั้นวัชรยานอันทรงคุณค่า ดังเห็นได้พระคัมภีร์เท็นเจอ ที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่โยคีผู้ปฏิบัติ


นาโรปะถือเป็นธรรมาจารย์คนสำคัญในวิวัฒนาการของสายคากิว โดยเฉพาะการรวมเอาเทคนิคตันตระกับหลักปรัชญาพุทธดั้งเดิมเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ก็คือสายปฏิบัติอันมีชีวิตที่เปี่ยมด้วยการอุทิศตนสู่สายธรรมเดิมแท้เหนือหลักตรรกะ กับหลักปรัชญาพื้นฐานอันแสดงความเข้าใจที่ถูกต้องในเส้นทางการฝึกตน ก็เพราะนาโรปะนี่เองที่ทำให้คำสอนอันลึกซึ้งตามวิถีโยคีอนาคาริกของทีโลปะ สามารถเดินทางออกจากป่าทึบในอินเดียตะวันออก สู่รูปแบบการฝึกฝนในแบบโยคีผู้ครองเรือนที่ได้ถูกปรับให้เหมาะสมตามเหตุปัจจัยในยุคสมัยโดยศิษย์เอกของนาโรปะที่ชื่อมาร์ปะ