Skip to main content

An Inconvenient Truth : แค่เรื่องราวของกระฎุมพีที่กระแดะจะ ‘อนุรักษ์’

คอลัมน์/ชุมชน


ผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมงานเสวนาเกี่ยวข้องปัญหาโลกร้อน และเขาได้ฉายภาพยนตร์สารคดีไถ่บาปนักการเมือง นายทุน และชนชั้นกลางอเมริกันที่ชื่อ An Inconvenient Truth


ผมแอบดูขาขาวๆของนักศึกษาสาวๆ บ้าง นั่งหลับบ้าง เคลิ้มๆ บ้าง เพราะแอร์ในห้องเสวนามันเย็นจับจิตจับใจจริงๆ .. แต่โชคดี สำหรับสารคดีเรื่องนี้เคยได้ผ่านหูผ่านตาผมมาบ้างแล้ว วันนี้จึงมีข้อมูลมาเขียนได้


สำหรับเนื้อเรื่องก็เป็นการบรรยายของท่านอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้โลกร้อน โชว์ตัวเลขนั่นนี่ที่เขาว่ากันว่านำเสนอได้โคตรดี สลับกับสารคดีชีวิตของท่าน วัยเด็ก ความใฝ่ฝัน นักการเมืองนักอนุรักษ์ และการแพ้การเลือกตั้ง!


ในสารคดีเรื่องนี้ เราจะได้เห็นวิกฤตการณ์ภาวะโลกร้อน มหันตภัยร้ายที่กำลังคุกคามโลกอยู่ขณะนี้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ที่มีปริมาณมหาศาลที่มนุษย์เป็นผู้ก่อถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกหนาขึ้นเท่าไรก็จะส่งผลให้อุณหภูมิของบรรยากาศโลก มหาสมุทรสูงขึ้น จนถึงระดับอันตราย ผืนน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือและธารน้ำแข็งบนภูเขาทั่วโลกจะค่อยๆ ละลายลงเรื่อยๆ และน่าจะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นถึง 20 ฟุต ซึ่งจะมีผลเกิดคลื่นความร้อนแผ่กระจายในหลายพื้นที่ส่งผลให้ปริมาณหิมะในบางพื้นที่ค่อยๆ มลายหายไป เกิดภัยแล้ง พายุถล่มเมือง อุทกภัย และภัยธรรมชาติต่างๆ นานาสารพัด ที่โลกเราจะพังพินาศไปได้ บลาๆๆๆๆ


แล้ววิธีการแก้ปัญหาของเขาก็คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลสิ่งแวดล้อมเช่นรถไฮบริดจ์ (ใช้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า) หรือการสนับสนุนนักการเมืองที่มีนโยบายอนุรักษ์ (แบบกอร์มั้ง?) หรือไม่ก็ลงสมัครเสียเอง


ไม่มีการพูดถึงพรรคสังคมนิยมกรรมาชีพอนุรักษ์ธรรมชาติเพื่อเปลี่ยนสังคม ยึดโรงงานอุตสาหกรรมโดยพลังประชาชน หรือเผาโรงงานอุตสาหกรรมแม่งทิ้งไปเลย มันแรงไป --- เพราะสารคดีเรื่องนี้เน้นถึงการแก้ปัญหาในระดับปัจเจกไปก่อน ค่อยๆ ให้มันลามไปจนคนทั่วโลกตระหนักถึงปัญหานี้


อเมริกันดรีมมิ่งโดยแท้ .. เพราะถึงเวลาเมื่อทุกคนตระหนักถึงปัญหานี้กัน เราก็คงลอยคอช่วยกันตระหนักขณะที่น้ำกำลังท่วมโลก!


เมื่อคิดในทางหนึ่ง มนุษย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่จะไปท้าทายทำลายธรรมชาติให้วินาศ วิบัติ ชิบหายไปได้ เราประเมินตัวเองสูงเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือธรรมชาตินั่นแหละ เราต้องเดินเท้าไกลไม่มีรถเก๋งไว้ขับ วิวัฒนาการทางธรรมชาติได้บีบรัดให้มนุษย์สร้างรถเก๋งขึ้นมา


มลพิษทุกอย่างมันคือธรรมชาติ โรงงานทุกที่มันคือธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นผลผลิตของธรรมชาติ ทั้งนั้น --- อย่าคิดว่าเรายิ่งใหญ่เสียเกินไป มนุษย์ผู้โอหังทั้งหลาย!


แต่ก็มีหลายคนบอกว่า ถ้าคุณคิดแบบนั้นคุณก็เป็นเครื่องมือให้ผู้ที่ฉวยโอกาสจากการทำกำไรด้วยการเพิ่มอุณหภูมิโลก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมต่างๆ --- อันนั้นผมไม่ใส่ใจนะ ผมขับรถ ผมไม่ได้เดินเท้า ผมใช้ของใช้มากมาย ขอโทษที่ผมไม่กล้ามีจิตสำนึกต่อต้านพวกเขาทั้งหลาย


เพราะผมจะด่านายทุนอุตสาหกรรมเหล่านี้ไป ผมก็กระดากปาก เพราะผมยังเป็นทาสการบริโภคเหล่านี้อยู่ ผมใช้คอมของ HP ที่เขาว่ากันว่ามีมลพิษที่สุดด้วย


แต่ถ้าเป็นไปได้ วันไหนผมละทิ้งได้หมด ไม่บริโภคเบียดเบียนธรรมชาติ ผมจะออกมาพูดเรื่องนี้ให้คนอื่นได้ยินดังๆ (ตอนนี้ผมก็มีจิตใจอนุรักษ์นะ เพียงแต่คิดไว้ในใจ ถ้าไปพร่ำสอนคนอื่น มันก็ดูกระดากปาก เพราะมอไซด์ผมยังเติมเบนซิน 95 อยู่เลย)


ผมไม่อยากกระแดะพูดว่าจะไม่ใช้นั่น ใช้นี่ ทำแบบนั้น ทำแบบนี้ แบบพวกนักวิชาการและ NGO สีเขียวทั้งหลาย แม้กระทั่งท่านกอร์ลูกพี่ใหญ่ในเรื่องนี้เอง ก็เคยโดนตำหนิเรื่องสำนักงานที่ใช้เครื่องปรับอากาศหลายตัว (พอๆ กับบ้านสี่เสาร์เทเวศร์ ;-) ... เออ ถ้าคุณทำกันได้จริงๆ ผมก็ขออนุโมทนาสาธุ และขอชื่นชมจากใจจริง


แต่ถ้าคุณได้แต่พูดในห้องแอร์เย็นฉ่ำ มีรถเก๋งคันหรู บริโภคฟุ่มเฟือยแบบชนชั้นกลางทั่วไป ก็ขอเชิญให้ไปไกลๆ ส้นตีน! กระฎุมพีที่ชอบสร้างภาพ


สำหรับ An Inconvenient Truth เป็นหนังที่ควรดูแล้วเอาไปอวดคนรอบข้างว่า ข้าพเจ้าดูมาแล้ว นำไปอวดอ้างว่าข้าพเจ้านี่โคตร ‘อนุรักษ์’ เสียจริง


แหวะ!