Skip to main content

ไปเป็นโยคีที่เมืองพม่า ตอนที่ 3

คอลัมน์/ชุมชน

ค่ำคืน วันเดิม
เพื่อนฉัน...

ฉันได้ฟังแม่ชีเล่าเรื่องชีวิตและนิสัยทั้งหลายของแม่ชี ทุกอย่างเทียบเคียงได้กับจริตฉันหมดเลย (ยกเว้นเรื่องผู้ชายพายเรือ แม่ชีไม่มีแน่นอน) ทั้งเรื่องครอบครัวที่ไม่ยอมรับการเป็นนักบวชของท่าน โดยเฉพาะคุณพ่อ และเมื่อรู้ว่าท่านได้บวชในประเทศพม่าคุณพ่อท่านยิ่งโกรธมาก คุณพ่อคงเสียใจที่ท่านทิ้งตำแหน่งงานระดับสูงในบริษัทเพื่อเข้าหาทางธรรม โดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน วันแรกที่กลับบ้านหลังจากออกมาได้กว่าห้าปี คุณพ่อหันหลังให้ ไม่ยอมรับการทำความเคารพ แต่ด้วยความอดทนและเข้าใจ ท่านสามารถทำให้คุณพ่อเปลี่ยนความรู้สึกได้ แม้ต้องใช้เวลาไม่น้อย ทุกวันนี้ คุณพ่อยอมรับท่านแล้ว ยกมือไหว้ท่านในฐานะลูกของพระพุทธเจ้า และสิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่เราคุยกัน คือทัศนะต่อการทำงาน ที่แม่ชีเรียกตัวเองว่า พวกใต้ดิน ทั้งทางโลกและทางธรรม บังเอิญหรือไร...ที่หลายอย่างในชีวิตของการทำงานของเรา เป็นแบบเดียวกับฉัน


เราแลกเปลี่ยนมุมมองกันในเรื่องทางธรรมและสถาบันสงฆ์ ว่าทำไมคนพม่าจึงเข้าวัดกันมากกว่าบ้านเรา ...นั่นเป็นประเด็นที่ไม่สามารถพูดออกมาดังๆ ได้ในที่สาธารณะ



อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น คือ ฉันได้เจอครูบาอาจารย์ทางจิตวิญญาณ ในห้องแม่ชี ห้องของท่านอยู่ชั้นสองเป็นอาคารไม้หลังเก่า ค่อนข้างชื้นเพราะฝนตกชุก แว่บแรกที่ย่างเท้าเข้าไป ฉันสังเกตเห็นรูปถ่ายพระภิกษุชราท่านหนึ่ง วางไว้บนโต๊ะตรงหัวเตียง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่ขณะที่คุยกัน ฉันเกิดอาการดิ่งทางจิตอย่างแรง จนต้องตั้งสติ พยายามเล่าอาการให้แม่ชีฟัง มันเคยเกิดมาแล้ว และฉันกลัวว่าตัวเองจะไม่ปกติ สักพักเมื่อฉันบอกเล่าไป คล้ายๆ ฉันได้ทบทวนปัญหาคาสมองตัวเองไปด้วย รู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อยอย่างอัตโนมัติ สิ้นลังเลสงสัยเรื่องเข้าวัด สิ้นสงสัยเรื่องสถานที่ปฏิบัติ


เมื่อฉันจิตดิ่งนิ่งลึก บางอย่างในตัวฉันเริ่มทำงาน ซึ่งมันก็คือจิต มันจับฉันหมุนอยู่บนเก้าอี้ จนฉันต้องขออนุญาตแม่ชีเล่าเรื่องความฝันและสัมผัสพิลึกที่มี และบางอย่างบอกให้ฉันหันไปรอบๆ ห้อง ฉันต้องลุกขึ้นหันไป เพื่อหาอะไรสักอย่างที่จะได้คำตอบ แต่หมุนรอบแล้วรอบเล่าก็ไม่หยุดที่วัตถุหรือรูปใดๆ เลย ฉันยืนหมุนๆๆๆ รอบตัวเองประมาณสี่ห้ารอบ ในที่สุด บางอย่างบอกฉันว่า มัววนอยู่อย่างนี้ไงเล่า จึงไม่หลุดพ้นเสียที และแล้วฉันมาหยุดกึกตรงหน้ารูปถ่ายพระสงฆ์อาวุโสรูปนั้น แล้วข้างในฉันก็บอกว่า นั่นไง คืออาจารย์ที่เจ้าจะต้องกราบ ฉันทรุดนั่งลงกับพื้น กราบอย่างสุดจิตสุดใจ แล้วถามแม่ชีว่าท่านเป็นใคร เคยเป็นเจ้าอาวาสที่นี่หรือ แม่ชีบอกว่า เปล่า ท่านไม่เคยอยู่ที่นี่ แต่ท่านมีวัดอยู่ที่เมืองมิถิลาทางตอนเหนือของพม่า (ฉันเคยผ่านไป เมืองนี้สวยงามคล้ายเชียงใหม่ ตั้งอยู่ติดภูเขาและมีแม่น้ำกว้างไหลผ่าน) ตอนนี้ท่านอยู่ที่พรหมโลกแล้ว แต่ท่านมาช่วยแม่ชีทำงานแปลหนังสืออยู่เสมอ (ลืมบอกไปว่าปณิธานของแม่ชี คือแปลตำราจากภาษาพม่าเป็นอังกฤษและไทย เพื่อเผยแพร่ให้มากที่สุด)


แล้วข้างในฉันก็บอกให้ฉันกราบแม่ชี เพราะว่าแม่ชีคือผู้ที่ปฏิบัติไปไกลแล้ว และบอกอีกว่าแม่ชีนั่นแหละ คือกุญแจของการมาที่นี่ของฉัน น่าแปลก ก่อนที่ฉันจะเกิดอาการแบบนี้ทั้งหมด แม่ชีบอกว่าอยากให้ฉันเจอกับเพื่อนแม่ชีพม่าคนหนึ่ง ซึ่งเคยไปสอนปฏิบัติที่เมืองไทย แม่ชีพม่าจะมาที่นี่ต้นเดือนนี้ ตอนนั้นฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม


อ้อ ฉันกับแม่ชีมีปัญหาสุขภาพเหมือนกัน ต้องดูแลตัวเองด้วยอาหารผัก ไม่เช่นนั้นจะเจ็บป่วยอาการแปลกๆ อยู่เสมอ


สุดท้ายเมื่อฉันกราบแม่ชีแล้ว แม่ชีพูดคำบาลีมาหนึ่งประโยค จับความได้ว่า กุศลเกิดขึ้นแล้ว เมื่อได้สนทนาธรรม กุศลเกิดขึ้นแล้วเมื่อได้สำนึกในกรรม กุศลเกิดขึ้นแล้วเมื่อได้สำนึกในบุญคุณ เหลืออีกอย่าง ฉันลืมไปแล้ว


เมื่อมาปฏิบัติที่นี่ ฉันค่อยเข้าใจการวิปัสสะนา และเชื่อมสมถะเข้าด้วยกันได้ แต่สติยังขาดบ่อย โดยเฉพาะเวลาเที่ยง ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นมาก หลังจากออกจากกรรมฐาน มาทานข้าวที่ห้องรวม


เพื่อนโยคีชาวต่างชาติทยอยกลับกันไปเยอะแล้ว ทั้งอาคาร มีเหลืออยู่ 4 คน มีแม่ชีเวียดนาม ภิกษุณีไต้หวัน 2 รูป และฉัน โยคีพม่าที่อาคารของพม่าก็น้อยลง แต่บรรยากาศชั้นเรียนธรรมมะตอนบ่ายสามโมงของเขา ยังเข้มข้น ทุกคนยังเอาจริงเอาจังเหมือนเดิม



วันนี้พระไทยกลุ่มนั้นก็กลับเมืองไทย ตอนไปสอบอารมณ์ เจอท่านเหล่านั้น มากราบลาท่านอาจารย์ แม่ชีไทยเป็นล่ามให้ อ้อ แม่ชีจบจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะวิทยาศาสตร์ อายุของท่านนับแล้วแค่รุ่นพี่ฉันเอง นามของท่าน ที่ถูกเรียกขานอยู่ที่นี่ คือ ดอ กุสสะลาเถรี


แล้วจะเขียนมาถึงเธออีก ขอให้มีความสุข ได้รับส่วนกุศลนี้ด้วย


ฉันเอง