Skip to main content

เมืองแม่น้ำในหุบเขา

คอลัมน์/ชุมชน

1


อุ๊ย วัยแปดสิบปีอยู่ที่วัดเกต บ้านไม้เก่า ๆ ซุกตัวอยู่ตรงนั้น หน้าบ้านของอุ้ยคือตึกและถนนใหญ่
อุ๊ยเล่าว่า ปีที่น้ำปิงขุ่นเป็นสีแดงเหมือนโคลน แม่ก็รู้แล้วว่า เกิดทุกข์
เมื่อถามว่า เมื่อแม่รู้แล้วทำไมแม่จึงนิ่งเฉย อุ๊ยยิ้มแก้มยับก่อนจะพูดว่า แม่จะไปบอกใครเล่า พวกเจ้าพวกนายเขาจะฟังหรือ


อุ๊ย อยู่ริมน้ำมาตั้งแต่เกิด
เมื่อถามถึงน้ำท่วม อุ๊ยว่าน้ำท่วมไม่กลัวหรอก อุ๊ยอยู่กับน้ำท่วมมาตลอด บ้านอยู่ริมน้ำ มันท่วมแค่ครึ่งเข่าและก็หมดไป แต่ที่กลัวเพราะน้ำมันท่วมนานไม่หมดไม่แห้งสักที น้ำสกปรก ถุงพลาสติก ขยะ น้ำมันเครื่อง พวกนี้แหละที่น่ากลัว น้ำมันติดแน่นขัดไม่ออก อุ๊ยชี้ให้ดูคราบน้ำมันที่เป็นคราบอยู่ตามพนังบ้านและพื้นไม้


แกว่าถ้ามันท่วมแค่เข่า ขึ้นมาไม่ถึงบันไดสุดท้ายของบ้าน น้ำท่วมเหมือนก่อนวันสองวัน น้ำก็ไปแล้ว ท่วมก็ท่วมไปเถอะ แต่นี้มันไม่หมดมันไม่ไป น้ำไม่รู้จะไหลไปไหน มีถนน มีบ้าน มีตึกเต็มไปหมด ลำเหมืองก็ไม่มี สร้างบ้านทำถนนปิดลำน้ำลำเหมือง


คำของอุ๊ยสั้น ๆ แต่บอกเรื่องราวได้มากมายถึงเมืองแม่น้ำในหุบเขา เมืองในหุบในแอ่งที่สูงๆ ต่ำๆ
นั้นหมายถึงว่า เมืองแม่น้ำก็ต้องอยู่แบบแม่น้ำ เพราะอยู่กันแบบผิด ๆ ไม่อยู่ตามแบบธรรมชาติ หรือฝืนธรรมชาติ พยายามจัดการกับแม่น้ำเช่นเปลี่ยนทิศทางไหล สร้างถนนขวางทางน้ำปิดคลอง ทำเลสร้างเมืองถูกเลือกมาอย่างดีแล้ว แต่การวางผังเมืองใหม่ภายหลังความเจริญต่างหากที่ผิดพลาด


‘อุ๊ยรู้ แต่ใครเขาจะฟังอุ๊ย’
ประโยคนี้บอกกล่าวได้ว่า มีการจัดการโดยไม่สนใจคนในพื้นที่นานมาแล้ว นำมาสู่การบริหารจัดการเมือง และการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศของเมืองในหุบเขา ที่สูง ๆ ต่ำ ๆ และอีกทั้งไม่สนใจคนอย่างอุ๊ยที่อยู่มานานแล้ว และอุ๊ยก็เป็นเจ้าของบ้านที่กลัวเจ้ากลัวนาย


2



แม่น้ำปิงกลางเมือง


ผู้คนมากขึ้นและมากขึ้น
เมืองแม่น้ำในหุบเขา แน่นอนเป็นเมืองที่มีลักษณะพิเศษ ผู้คนมากมายเดินทางมาที่นี่ เพื่อมาเยือนดินแดนที่งดงาม ไม่ใช่แค่ภูเขาและแม่น้ำเท่านั้น แต่มีชีวิตของผู้คนที่มีวิถีชีวิตที่เกื้อกูลธรรมชาติ มีประเพณีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง มีภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมานาน


วันเวลาผ่านไป ผู้คนเดินทางมาที่นี่มากขึ้น และมากขึ้น มีเรื่องเล่าว่า ผู้คนที่เดินทางมาที่เมืองแม่น้ำในหุบเขา กลับไปบอกญาติพี่น้องและย้ายถิ่นกันมาทั้งหมู่บ้านเลยก็มี



พิธีกรรม


ผู้คนมากขึ้นและมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน รัฐเปิดสัมปทานป่าไม้ พร้อม ๆ กับส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ จุดเด่นในการขายการท่องเที่ยวคือ แม่น้ำปิง และขุนเขา ไปจนถึงกำแพงเมืองเก่า วัดวาอาราม และประเพณีวัฒนธรรมของเมือง


มีการพัฒนาเมืองอย่างไม่หยุดยั้ง มีการทุบและสร้างอย่างบ้าคลั่ง เช่น การสร้างไนท์ซาฟารี สวนสัตว์กลางคืน แม้แต่เขตอุทยานก็ไม่ยกเว้น มีการสร้างโครงการขนาดยักษ์ลงในพื้นที่อุทยาน เช่นโครงการพืชสวนโลก และเม็กกาโปรเจ็คอีกหลายอย่างที่สร้างไปแล้วและรออยู่

ในขณะเดียวกันคนเมืองเชียงใหม่ก็พยายามรวมตัวกันเพื่อคัดค้านซึ่งสามารถหยุดยั้งได้บ้าง เช่นโครงการสร้างกระเช้าสู่ยอดดอยหลวงเชียงดาว โครงการรถรางลานครูบา และมีหลายอย่างที่ไร้ผล สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองเชียงใหม่คือ เกิดความขัดแย้ง เกิดภาวะขยะล้นเมือง เกิดน้ำท่วมเมือง เกิดมลภาวะ จนถึงขณะประกาศเป็นเขตฉุกเฉินจากหมอกควันในช่วงฤดูแล้ง เหล่านี้เป็นผลพวงมาจากการพัฒนาเมืองเป็นส่วนใหญ่


3



ฝายพญาคำ


หลังจากน้ำท่วมหนักในปี 2548 ในการแก้ปัญหาระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชน มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน มีความพยายามต่อสู้คัดค้านและหาทางออกในหลาย ๆ ครั้ง จนเกือบจะเป็นความขัดแย้ง เช่นกรณีการพยายามจะทุบฝายชาวบ้าน และการสร้างประตูระบายน้ำใหม่ ซึ่งชาวบ้านยืนยันว่า ฝายเล็ก ๆ ในแม่น้ำปิงไม่ใช่ตัวปัญหาที่ทำให้น้ำท่วม หรือการไหลของแม่น้ำปิง ควรจะสนใจสองฝั่งที่บุกรุกมากกว่า และสนใจคูคลอง ลำเหมืองรับน้ำ ส่งน้ำ เช่นเดียวกับประตูระบายน้ำ ก็ไม่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาน้ำท่วม และไม่ใช่การแก้ปัญหาต้องกักเก็บน้ำไว้ใช้ เพราะระบบเหมืองฝายโดยการมีส่วนร่วมในการจัดการน้ำของชาวบ้านดีอยู่แล้ว พวกเขามีความชำนาญเรื่องนี้สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน และเสนอว่าการฟื้นฟูระบบฝายแบบดั้งเดิมนี่แหละจะช่วยไม่ให้น้ำท่วมด้วย เพราะมีการดูแลลำเหมืองเพิ่มขึ้น ตรงไหนเป็นทางน้ำ เป็นลำเหมืองเก่าที่ถูกถม ถูกทิ้งให้ตื้นเขินก็ขุดก็ปรับใหม่ และมีการเรียกร้องให้รัฐจัดการกับผู้บุกรุกที่ดินริมแม่น้ำปิง เพื่อการขยายลำน้ำ มีการแก้ปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำบนภูเขาสูง มีพื้นที่ป่าถูกทำลายไปจำนวนมาก เพราะการบริหารจัดการที่ผิดพลาดของรัฐ เช่นการส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี๋ยว เหล่านี้เป็นต้น

ความพยายามเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหาแนวทางร่วมกันของภาครัฐและภาคประชาชน ในการบริหารจัดการแม่น้ำปิงทั้งระบบอย่างบูรณาการ โดยการเปิดเป็นเวทีสาธารณะ ในวันที่ 25-26 กรกฏาคม 2550 นี้ ที่ห้องภูมิระพี โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ในเมืองเชียงใหม่ มีรองนายกรัฐมนตรีไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม มาร่วมรับรู้รับเรื่องในครั้งนี้ด้วย


ว่ากันว่าเป้าหมายในครั้งนี้เพื่อการหาแนวทางร่วมกันเสนอต่อภาครัฐ คนเชียงใหม่ท่านใดที่สนใจเข้าร่วมก็เชิญได้ตั้งแต่ 09.00 -16.00 . ของทั้งสองวัน สอบถามรายละเอียดกันที่ 08 40415096