Skip to main content

ไปเป็นโยคีที่เมืองพม่า ตอนที่ 4

คอลัมน์/ชุมชน

31 พฤษภา
เพื่อนฉัน

ยิ่งอยู่นานยิ่งทำผิดกฏอยู่เรื่อย แม้กฏของที่นี่ไม่เข้มงวดขนาดเอาไม้เคาะหัว แต่ถ้าเกเรไม่นั่งอยู่ในห้องกรรมฐาน สำนึกลึกๆ บอกว่ากำลังกินเลือดเนื้อคนพม่าอยู่ ที่ฉันต้องแว่บออกมาบ่อยๆ เพราะเครียด ตึงไปทั้งกายทั้งใจ จึงบอกกับตัวเองว่า ผ่อนคลายซะหน่อย ด้วยการลงมาเข้าห้องน้ำ (ห้องปฏิบัติอยู่ชั้นสองของอาคาร) แล้วจึงเลยมาที่ห้องนอน ออกมาข้างหลังอาคารเพื่อเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้ ฝนตกทุกวันเลย ต้องรีบซักผ้าตั้งแต่เช้า ชุดปฏิบัติธรรมมีใช้อยู่แค่สามชุด ต้องซักทุกวัน ใช้เป็นชุดนอนด้วย เหตุที่ต้องซักตั้งแต่เช้าเพราะฝนมักจะตกตอนบ่าย จนถึงค่ำ ดึกๆ บางคืนก็ยังตก ตกจริงๆ จังๆ ตกได้ตกดี เม็ดโตๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน อากาศเย็นสบาย อยู่แต่ในตัวอาคารไม่ได้ตากฝนนี่นา (พูดถึงเรื่องฝนตกที่นี่แล้วทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมคูน้ำข้างถนนในเมืองใหญ่ของเขาน้ำยังไม่เน่าเสีย คูน้ำระบายน้ำได้ดี คำว่าน้ำท่วมขังยังไม่มี)




มีเรื่องตลกเกี่ยวกับการซักผ้า คือ ผงซักฟอกที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตหน้าสำนัก เป็นผงซักฟอกจากเมืองไทย ยี่ห้อไทย เขียนไทย ไม่มีส่วนไหนดัดแปลงเป็นภาษาเมืองเขาเลย แถมราคาแพงเท่าตัว โหดจริงๆ คนมีกะตังค์เขาใช้กัน เห็นมีน้ำยาซักผ้ากลิ่นหอมๆ ยี่ห้อหนึ่ง ขวดเล็กๆ ที่เมืองไทย ราคา 35 บาท ที่นี่ 105 บาท แน่ล่ะ ชาวบ้านทั่วไป เขาใช้สบู่ทำมือก้อนบะเริ่มเทิ่ม กันทั้งเมืองนี่ ใครมีรสนิยมสูงก็ต้องเป็นพวกมีรายได้สูงไปด้วยแน่นอน เห็นไหม แค่ผงซักฟอก ฉันก็ลากเข้าเรื่องสังคมอีกจนได้

อีกนิดนะ ส่วนใหญ่ของใช้ในบ้านประเภท สบู่ ยาสีฟัน มาจากเมืองไทยทั้งนั้น ไม่น่าเลย...ราคาแพงเป็นบ้า เมื่อเทียบกับรายได้แรงงานรับจ้างรายวัน ที่คิดเป็นเงินแค่ ไม่กี่สิบบาท....เอาอีก คิดอีก เฮ้อ

ที่จะเล่าก็คือสมาธิยังไม่เกิด ขาดๆ หายๆ กับสติที่พยายามปลุกปล้ำเฝ้าดู แต่ดีขึ้นกว่าเดิม นิ่งได้เร็วขึ้น มีข้อสงสัยอยู่บ้าง กับอาการบางอย่าง คือใจมันดิ่งผลุบๆๆๆๆ แต่ไม่มีอาการวิปัสสนาเลย คงเป็นเชื้อเก่า จึงพยายามจะสังเกตใหม่ แต่วันนี้อาการนั้นไม่เกิดขึ้นแล้ว ธรรมดาแหละนะ

ใจหนึ่งเริ่มดิ้นรนถามว่า ทำไมไม่ไปปฏิบัติที่เมืองโมบี ถ้าไปที่นั่นไม่ต้องพยายามจัดการกับสติสักเท่าไหร่หรอก แน่ะ...เพราะที่ทางออกจะสัปปายะ ท่านอาจารย์ใหญ่ออกแบบสถานที่ที่นั่นให้คล้ายๆ สวนโมกข์ เพื่อไว้รองรับชาวต่างชาติ ถ้าอยู่ที่นั่น คงใช้เวลาไม่นานจิตใจก็นิ่ง นั่นซี อีกใจก็ว่า จะนิ่งทำไม นิ่งแบบไหน อยู่นี่ นิ่งยากเพราะยังโง่อยู่หรือเปล่า ใจเย็นๆ ค่อยดูมันไป มีอาจารย์คอยพร่ำสอนอยู่ใกล้ๆ แบบนี้แหละหักดิบตัวเองดีนัก ป่าเขาน่ะอยู่มามากแล้ว ยังไม่เห็นซึ้งกับอนิจจังเลย อดทนอยู่กับความจริงแบบนี้แหละ....มันขู่


แต่มันมีสาเหตุนะ เธอรู้ไหม บ้านข้างๆ ที่พักฉัน เย็นวันหนึ่ง เสียงผู้หญิงฟังห้าวๆ หยาบๆ ลุกขึ้นมาด่าทอคนในบ้านซะลั่นเลย ฟังแล้วตกใจ นึกว่าคนด่ากันในวัด แต่พอฟังไปๆ อ้อ นอกวัดนะเอง ไม่รู้เรื่องหรอก ว่าเขาพูดอะไร แต่น้ำเสียงโหดชะมัด เป็นผู้หญิงที่น่ากลัวจริงๆ เพราะปกติผู้หญิงพม่าในเมืองย่างกุ้งไม่ค่อยเจอคนนิ่มนวล มีแต่ที่พูดน้ำเสียงกระด้าง แต่จะใจดีแค่ไหน ก็ยังไม่รู้เลย (แม่ชีไทย บอกว่า เห็นใจเขาเถอะ ชีวิตคนที่นี่เก็บกด เพราะรัฐบาลเลวร้ายมาก คอร์รัปชั่นเยอะ คนเลยไม่มีความสุขเท่าที่ควร)


............ เรื่องนี้น่าคิด ต้องดูกันต่อไป.......


เมื่อวานแม่อุปถัมภ์ มาเยี่ยม มาพร้อมกับลูกสาวคนสวย วัย 20 ชื่อน้องผิวผิว เอาผ้าถุงมาให้อีกสองผืน และเอาเงินจ๊าดมาให้เผื่อใช้เล็กน้อย เพราะฉันไม่ได้แลกเงินไว้มากนัก โชคดีที่ฉันมีแม่คอยดูแล ไม่งั้นฉันคงไม่เก่งกล้าสามารถนักหรอก ผิวผิวบอกว่าเธอปฎิบัติสายมหาสี สะยาดอ เช่นกัน แต่ไปที่สำนักของท่าน ส่วนแม่ไปอีกสายหนึ่ง


อีกอย่างที่อยากจะเล่าให้ฟัง อาการทางร่างกายของฉันมันเล่นงานฉันอย่างหนัก เพราะตื่นตีสามกว่าทุกวัน ตอนตื่นนอนใหม่ๆ ยังสดชื่น ผ่านไปสักสามชั่วโมง เริ่งง่วงหงุบ วันนี้พบว่าปัญหาคือ อาหารในท้องมีน้อยแต่แก๊สมากตอนเช้าเป็นข้าวต้ม ประมาณหกโมงเช้า ข้าวคำแรกตกถึงท้องปุ๊บ ฉันรู้สึกสดชื่นปั๊บอย่างฉับพลัน แต่สารอาหารน้อยไปหน่อย ตอนเย็นยังรู้สึกหิวอยู่ มื้อเช้าฉันจะกินข้าวได้เล็กน้อย ข้าวต้มใส่ถั่วแดงนี่ทำให้มีลมในท้องเยอะจริงๆ อาหารมักจะเป็นผัด แกงก็มีความมัน ทุกอย่างล้วนแต่มันๆ ทำให้เกิดลมในกระเพาะได้อย่างดี เวลานั่งสมาธิจิตนิ่ง ลมวิ่งป่วนไปหมด ลงล่างแบบวูบๆ เห็นชัดเลย สรุปอาหารก็สำคัญ ถ้าจะปรับสมดุลย์ของจิต-กาย แต่นี่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะจะหาอะไรมาทดแทนได้บ้างก็ไม่รู้ ไม่รู้จะรบกวนเจ้าหน้าที่อย่างไร เลยชงยาจีนชื่อสามประสาน ที่ซื้อมาจากเมืองไทย ดื่มไล่ลมได้ผลชะงัดนัก อาการครั่นเนื้อครั่นตัวเนื่องจากอากาศชื้นก็หายไปด้วย เพราะยังไงอิฉันก็ไม่ขอนอนป่วยอยู่ที่นี่หรอกค่ะ กลัวไม่มีคนให้อ้อน....เห็นม่ะ เพื่อนเธอ


แค่นี้นะ จะไปอาบน้ำแล้ว ร้อนมาก นี่ขนาดยังไม่เที่ยง ฉันจึงต้องสำนึกอยู่เสมอว่า มาทำให้น้ำดีๆ กลายเป็นน้ำเสียวันละหลายปี๊บ


ฉันเอง