Skip to main content

งานแต่งงานที่ไม่ขึ้นตรงต่อสังคม

คอลัมน์/ชุมชน

ไม่นานมานี้ แฟนเก่าฉันโทรมาบอกว่ากำลังจะแต่งงาน ฉันฟังแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะน้ำเสียงของเธอไม่ได้แสดงว่าดีใจหรือมีความสุข แต่กลับเจือความกังวลเอาไว้อย่างมาก ฉันเลยถามเธอไปว่า "แล้วรักเขารึเปล่า"

"เขาก็ดีนะ ซื่อ ๆ ไม่เลวร้ายอะไร" เธอไม่ตอบตรง ๆ ฉันฟังแล้วยิ่งแปลกใจ เลยถามเป็นครั้งที่สองว่ารักผู้ชายคนนี้รึเปล่า
"
ก็ไม่ใช่สเป็คเราหรอก จริงๆ แล้วตรงข้ามกับที่เราชอบทุกอย่างเลย แต่เขาว่าเขารักเรามาก"
"
อ้าว แสดงว่าไม่ได้รักเขาใช่มั้ยเนี่ย" ฉันโพล่งออกมา
เธอตอบกลับด้วยเสียงหงุดหงิด "แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ เราอายุป่านนี้แล้ว คงไม่มีใครมาสนใจอีก คนนี้คงเป็นคนสุดท้ายแล้ว หลินก็รู้ว่าเราอยู่คนเดียวไม่ได้"


ได้ฟังความในใจของเธอดังนี้ ฉันก็พยายามสาธยายเหตุผลนานัปการเพื่อบอกว่าเธอไม่ควรที่จะแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก
"
อยู่ ๆ ไปก็คงรักกันไปเองน่ะแหละ" เธอแย้งกลับ
ฉันถอนหายใจ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี


มองภายนอกแล้วแฟนเก่าของฉันคนนี้ไม่ใช่คนหน้าตาไม่ดี หรือสิ้นไร้ไม้ตอกจนต้องพึ่งพิงผู้ชาย จริง ๆ แล้วเธอหน้าตาดี มีดีกรีปริญญาโทสองใบ ทำงานในบริษัทที่มีชื่อ มีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ภายในของเธอยังเชื่ออยู่เสมอว่าการแต่งงาน (แม้กับผู้ชายที่เธอไม่ได้รัก) จะทำให้ชีวิตเธอมั่นคงและมีความสุข


เธออาจจะโชคดีเช่นนั้นได้ แต่มันก็เสี่ยงเหลือเกิน ฉันคิดถึงเพื่อนทอมคนหนึ่งที่เล่าให้ฟังว่า พี่สาวตัวเองก็แต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รัก เพราะคิดว่าตัวเองอายุมากแล้วต้องแต่งงานซะที ชีวีจะได้มีสุข


"แล้วเป็นไงบ้าง" ฉันถาม
"
สามวันหลังแต่ง พี่ก็มาบ่นแล้วว่าเบื่อ (ผู้ชายที่เป็นสามี) สามเดือนผ่านไป บอกว่า เหม็นขี้หน้ามัน ปากมันกลิ่นยังกะตะไคร่น้ำ"
ฟังแล้วคิดไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าแล้วอีกสามปีข้างหน้า เธอจะสามารถทนอยู่กับเขาได้อีกหรือนี่ จากกลิ่นตะไคร่น้ำ อาจหนักหนาจนกลายเป็นกลิ่นกะปิเน่า รองเท้าบูด ตูดไม่ได้เช็ด ฯลฯ


ฉันล่ะอยากจะบอกกับแฟนเก่าของฉันเหลือเกินว่า การแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก อาจทำให้ชีวิตภายนอกของผู้หญิงดูมั่นคงยิ่งขึ้น แต่มันไม่ได้เป็นเครื่องการันตีอะไรเลยว่าชีวิตภายในจะมั่นคงตามไปด้วย

ผู้หญิงเรามักจะถูกสอนหรือได้รับการตอกย้ำจากครอบครัวและสังคมเสมอ ๆ ค่ะ ว่าต้องแต่งงานชีวิตเราจึงจะมั่นคง มีคนดูแล มีความสุข ผู้หญิงบางคนจึงละเลยที่จะเติมเต็มความสุขภายในให้กับตัวเอง แล้วเฝ้ารอให้มีชายหนุ่มมาหลงรักและเติมเต็มให้ชีวิตเธอ แต่ถ้าหากไม่ได้แต่งล่ะก็ นั่นหมายถึงชีวิตจะจบลงอย่าง "ไร้ค่า" คา "คาน"


ผู้หญิงที่สามารถแต่งงานอย่างถูกต้องตามวัฒนธรรมและตามกฎหมาย บางทีก็ถูกการแต่งงานมาบงการชีวิตด้วยประการละฉะนี้

ลองมาดูในอีกฟากฝั่งของความเป็นผู้หญิง ผู้หญิงบางคนที่ไม่ได้รักผู้ชายแต่รักผู้หญิงด้วยกัน กลับถูกกีดกันจากทั้งทางวัฒนธรรมและกฎหมายไม่ให้ล่วงล้ำเข้าสู่พิธีวิวาห์ที่สงวนไว้เฉพาะชายหญิง นี่ก็ถูกบงการชีวิตไปอีกแบบหนึ่ง

แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนค่ะที่ยอมจำนนอย่างนั้น วันนี้อยากจะเล่าถึงชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่ฉันได้อ่านมาจากหนังสือออกใหม่ปีนี้ชื่อว่า "หญิงแต่งหญิง ใครว่าเป็นไปไม่ได้" หนังสือนี้บอกเล่าเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก เพราะไม่เพียงแต่เธอจะเป็นผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาแต่งงานกับผู้หญิงจนเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์บางฉบับ เธอยังเปิดเผยด้วยว่า ตัวเองได้รับการผ่าตัดแปลงเพศแล้ว และมีอวัยวะเพศชายที่สมบูรณ์ ที่สุด !



ขอเล่าเรื่องที่น่าสนใจของเธอคนนี้ให้ฟังย่อ ๆ นะคะ เธอชื่ออ้อมค่ะ เกิดที่ชลบุรี ชีวิตวัยเด็กก็ถือว่าเป็นเด็กทะโมนจอมแก่นคนหนึ่ง ลักษณะท่าทางของผู้หญิงไม่ได้ติดตัวเธอมาด้วยเลย จนสักสิบขวบนั่นล่ะค่ะอ้อมเขาก็เริ่มรู้ตัวว่าคงจะชอบผู้หญิงด้วยกัน จนเรียนจบเข้ามาหางานทำที่กรุงเทพ เธอจึงชัดเจนว่าตัวเองมีแต่ใจให้กับผู้หญิงเท่านั้น


เวลาที่เธอเล่าถึงงานที่เธอทำนั้น ฉันเห็นว่าเธอเป็นคนที่สู้ชีวิตคนหนึ่ง ทำงานหนัก ไม่เลือกงาน และพยายามทำงานอย่างดีให้เจ้านายเห็นความสามารถ เธอสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร


แล้ววันหนึ่งเธอก็ไปตกหลุมรักลูกสาวเจ้านายเข้าจนได้ ลูกสาวเจ้านายนั้นก็รักตอบ ทว่าในที่สุดเธอคนนั้นก็ต้องไปแต่งงานกับผู้ชายตามที่สังคมกำหนด ทิ้งให้อ้อมอกหัก เธอก็เลยไปกินเหล้าเมาอย่างหนักเพื่อหนีความเจ็บปวด ทั้ง ๆ ที่เมามากเธอก็ยังบิดมอเตอร์ไซค์กลับบ้านอย่างเร็วจี๋เหมือนกับพยายามให้ความเจ็บปวดตามไม่ทัน จนรถเสียหลักพุ่งชนต้นไม้


ยังเคราะห์ดีที่อุบัติเหตุนั้นไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ต้องเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจอยู่ที่โรงพยาบาลอีกนาน จนวันหนึ่งอ้อมคิดขึ้นมาว่า ไหน ๆ ก็ต้องผ่าตัดแล้ว ก็แปลงเพศไปด้วยเสียเลยทีเดียว จะได้มีสรีระเป็น "ผู้ชาย" อย่างที่ใจต้องการ อ้อมเลยปรึกษาหมอเรื่องการแปลงเพศ โชคดีค่ะที่ได้หมอผ่าตัดที่เข้าใจ เลยให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ และถามคำถามต่าง ๆ เพื่อให้อ้อมมั่นใจกับการตัดสินใจของตัวเอง


ขอเล่าเรื่องการแปลงเพศของคุณอ้อมเขาสักหน่อย เพราะที่ผ่านมาไม่ค่อยมีใครออกมาบอกว่าตัวเองแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย ที่เรารับรู้เรื่องราวกันก็มีแต่ที่แปลงจากชายเป็นหญิง หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นเล่มแรกเลยก็ว่าได้ที่ให้ข้อมูลด้านนี้ และอ้อมก็ได้เล่าไว้เยอะพอสมควรค่ะว่ากระบวนการแปลงนั้นเขาทำกันอย่างไรบ้าง


ขั้นแรกหมอก็ต้องถามก่อนว่าแน่ใจหรือเปล่าที่จะใช้ชีวิตอยู่ในร่างของผู้ชาย ทั้งทางด้านสรีระ จิตใจ และการยอมรับของสังคม ช่วงนี้หมอให้อ้อมใคร่ครวญอยู่สองอาทิตย์ค่ะ พอตัดสินใจว่าเอาแน่ อ้อมก็เซ็นยินยอมรับการผ่าตัด


แล้วก็มาถึงขั้นเลือกอวัยวะเพศว่าต้องการขนาดไหน ที่หมอแนะนำก็คือ เลือกขนาดที่ไม่เกินสัดส่วนของร่างกาย ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ต่ออวัยวะใหม่นั้น ที่ราคาสูงหน่อยและยืดหยุ่นได้เหมือนจริงก็คือแท่งซิลิโคน ที่น่าแปลกใจคือ ต่อเข้าไปแล้วสามารถทำให้หลั่งได้ด้วย ถ้าต้องการจะมีลูกก็เอาน้ำเชื้ออสุจิใส่แคปซูลฝังไว้ที่ปลายอวัยวะเพศก็ได้ แล้วที่สำคัญคือ อวัยวะเทียมนี้ทำงานได้จริง คือสามารถแข็งตัวได้เมื่อเกิดอารมณ์ ! ทำได้ยังไงก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ


สำหรับค่าใช้จ่ายนั้น คุณอ้อมเธอจ่ายไป 250,000 บาท ซึ่งนี่เป็นราคาเมื่อหลายปีมาแล้ว ไม่รู้ว่าปัจจุบันราคาจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร ใครสนใจคงต้องลองสอบถามตามโรงพยาบาลที่ผ่าตัดแปลงเพศดู คุณอ้อมเองไม่ได้เปิดเผยชื่อโรงพยาบาลที่ผ่าตัดไว้ด้วย เพียงแต่บอกว่าหมอผ่าตัดนั้นเป็นผู้หญิง


พอผ่าตัดเสร็จแล้วก็เป็นขั้นพักฟื้น แรก ๆ อวัยวะใหม่นี้จะบวม ต้องรอให้หายบวมก่อน แล้วก็ต้องติดตามดูว่าชิ้นเนื้อนั้นเข้ากับร่างกายได้ดีหรือไม่ สุดท้ายต้องผ่านการทดสอบ ด้วยการดูหนังเอ็กซ์


ขั้นตอนนี้ล่ะค่ะ ที่คุณอ้อมเขาไม่ผ่านในครั้งแรก อวัยวะใหม่มันไม่ตอบสนองต่อความรู้สึกทางเพศ เลยต้องผ่าตัดซ่อม ครั้งที่สองเป็นอันผ่าน ใช้ได้ค่ะ แต่ยังไงก็ยังต้องดูแลกันอย่างดีไม่ให้ติดเชื้อขึ้นมา กว่าน้องชายอ้อมจะเข้าที่เข้าทางก็ใช้เวลาปีกว่าได้


ส่วนมดลูกนั้น คุณอ้อมบอกว่าก็ไม่ได้ตัดทิ้งไปไหน เพราะยังมีความจำเป็นต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกาย ยังมีประจำเดือนมา แต่ไม่มากนัก เพียงแค่ใช้ทิชชู่พันตรงปลายอวัยวะเพศก็ซับเลือดได้เพียงพอแล้ว


บางคนอาจจะเข้าใจว่าพอผู้หญิงแปลงเพศเป็นชายแล้ว จะต้องดูเป็นผู้ช้ายผู้ชาย แต่ดูรูปคุณอ้อมในหนังสือแล้ว ก็ไม่ได้เหมือนผู้ชายเท่าไร ดูเหมือนทอมคนหนึ่ง คือถ้าเจ้าตัวไม่บอกว่าแปลงเพศแล้วคงไม่มีใครรู้ แม้แต่แฟนของอ้อมเอง ก่อนแต่งงานก็ยังไม่รู้สักนิด


เวลานิยามตัวเอง อ้อมก็บอกว่า "ผมเป็นผู้หญิงที่มีอวัยวะเพศชายที่สมบูรณ์ที่สุด" อ้อมใช้สรรพนามแทนตัวว่า "ผม" บอกว่าตัวเองเป็น "ผู้หญิง" ที่มีอวัยวะเพศ "ชาย" (ซึ่งจริง ๆ แล้วเธอยังมีมดลูกด้วย) เรื่องนี้ก็คงเป็นความหลากหลายอีกอย่างหนึ่ง ที่คนแปลงเพศจะเลือกเป็นอะไร หรือนิยามตัวเองว่าอะไร ความเป็นไปได้มันมีมากมายมากกว่าที่เราจะไปตีกรอบใส่มันได้


หลังจากน้องชายเข้าที่เข้าทางแล้ว อ้อมก็ใช้ชีวิตอย่างที่เรียกได้ว่าเป็นคนเจ้าชู้คนหนึ่งเลยทีเดียว ประสบการณ์กับผู้หญิงนั้นมีหลายรูปแบบมาก จนในที่สุดเธอก็มาเจอคู่ชีวิตที่ทำให้เธออยากจะปักหลักปักฐาน คือน้องเจน สาวน้อยหน้าคม คนนี้แหละทำให้คุณอ้อม ทิ้งความเจ้าชู้ ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินอย่างเดียวเพื่อสร้างฐานะ ทำตัวเสมอต้นเสมอปลายกับน้องเจน เข้าทางผู้ใหญ่จนผู้ใหญ่ยังใจอ่อน สนับสนุนให้น้องเจนคบกับอ้อม


ในที่สุดเจนก็ตกลงปลงใจแต่งงานเพราะเห็นรักแท้ของอ้อม


อ้อมฝากบอกผู้อ่านไว้ด้วยว่าการจะดำเนินชีวิตแบบนี้นั้น ต้องถามตัวเองว่าพร้อมหรือเปล่า เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่าย เราอาจต้องอยู่คนเดียวโดยไม่มีครอบครัว อาจต้องรับมือกับความผิดหวัง อีกทั้งความรักนั้นก็เป็นไปได้ยากกว่ารักของหญิงชาย


ดู ๆ แล้วการแต่งงานของอ้อมและเจนต่างจากการแต่งงานแฟนเก่าของฉันอย่างลิบลับ ขณะที่แฟนเก่าฉันนั้นกำลังจะแต่งงานอย่างปราศจากความรักเพราะทำตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่สังคมกำหนด แต่อ้อมบอกว่า เธอแต่งงานเพราะความรักที่ "ปราศจากเงื่อนไขทางเพศ และไม่ขึ้นตรงต่อสังคม" สำหรับหญิงรักหญิงแล้ว ถ้าไม่รักกันจริง ๆ คงไม่มีใครจะกล้าฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายเพื่อให้ได้แต่งงานกันหรอกค่ะ


คิดไปคิดมา ฉันก็ตัดสินใจได้ว่า ไม่ไปงานแต่งงานของแฟนเก่าดีกว่า เพราะถึงไปก็คงไม่สามารถแสดงความยินดีจากใจจริงได้ แทนที่จะไปอวยพรให้เธอมีความสุขกับสามี ฉันคงอดไม่ได้ที่จะต้องบอกเธอว่า "แกจงระวังกลิ่นตะไคร่น้ำไว้ให้ดี" แม้จะเตือนด้วยความจริงใจ แต่ปากแบบนี้คงไม่เหมาะสำหรับงานมงคลเท่าไรนัก