Skip to main content

ไปเป็นโยคีที่เมืองพม่า ตอนที่ 5

คอลัมน์/ชุมชน

1 มิถุนายน
เธอจ๋า


ไข้ขึ้นค่ะ ไข้ขึ้น วันนี้ไปสอบอารมณ์วันที่สอง เห็นความเข้มงวดของท่านอาจารย์เข้าแล้ว ตอบคำถามเงอะงะโง่งมไปหน่อย ก็ว่าด้วยวิธีปฎิบัตินั่นแหละ ฉันมันศิษย์นอกครูอยู่เรื่อย สั่งให้ทำอย่างนี้ แอบทำอย่างโน้น (นิดหน่อย) เลยได้รับการกำชับจากท่านว่า ต้องทำตามที่บอก


เมื่อวานนั่งสมาธิแล้วตัวหายไปเลย เหลือแต่ความรู้สึกร้อนวนอยู่รอบๆ บริเวณที่เรียกว่าหน้าท้อง ก็เฝ้าดูมัน แต่หลังจากออกจากสมาธิ เธอเอ๋ย เหมือนจะจับไข้ต่อเนื่อง ร้อนผ่าวไปทั้งตัว (จนขณะนี้ยังร้อนนิดหน่อย) ถามท่านอาจารย์แล้วท่านว่าเป็นอาการตามธรรมชาติของมัน อย่าไปกังวล เมื่อคืนตอนหัวค่ำ ฉันเลยมานอนซะเกือบสองชั่วโมง อ้อ...เวลาปฎิบัติคือ ตื่นตี 3 ล้างหน้าแปรงฟัน หรือจะอาบน้ำก็ตามใจชอบ แล้วขึ้นไปบนห้องกรรมฐาน จน เกือบ 6 โมงเช้าจึงพัก เพื่อลงมารับอาหารเช้า แล้วขึ้นไปปฎิบัติต่อจน11 โมง ได้เวลาอาหารเพล พอบ่ายโมงเริ่มปฎิบัติอีก มาหยุดรับน้ำปานะ 5 โมงเย็น จึงได้พักผ่อนส่วนตัวพอประมาณ จากนั้นก็กลับเข้าห้องปฎิบัติอีก จนกระทั่ง4 ทุ่ม จึงลงมานอนเป็นอย่างนี้ทุกวัน


โยคีต่างชาติไม่ต้องร่วมสวดมนต์ ที่ห้องโถงใหญ่ ทั้งในตอนเช้าและเย็น แต่ได้ยินเสียงสวดมนต์ของโยคีพม่าชัดเจน ฟังแล้วไพเราะมาก เป็นการสวดมนต์ที่มีคำบาลีไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นภาษาพม่า เขาใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ทุกคนสวดเต็มเสียง เปี่ยมพลังแห่งศรัทธา ฟังแล้วตราตรึงใจเหมือนกัน



เมื่อตอนเย็นวาน...ฉันขึ้นไปบนห้องปฎิบัติเกือบสองทุ่ม แม่ชีเวียดนามมองหน้าฉันแล้วเหลือบมองนาฬิกา โอ้ยโหย... เหมือนโดนตีอย่างแรงที่แสกหน้า "ก็ฉันไม่สบายนี่" ฉันเถียงในใจ เพราะที่นี่เขาจะไม่พูดกัน เถอะ... ถึงจะพูด ฉันก็ขอเถียงอยู่ในใจ มือใหม่หัดวิปัสสนาอย่างฉัน ล้มลุกคลุกคลานน่าดู เธอเองก็รู้รสชาดที่แสนจะอ่อนล้าทั้งกายใจเพราะความพยศของ "ของเก่า" ซึ่งบางครั้งมันจะเล่นงานจนเหงื่อท่วมตัว


แว่บลงมาเขียนจดหมายในตอนเที่ยง เพราะอยากส่งข่าวให้รู้ อันที่จริง ฉันมีเรื่องฟุ้งอีกมากมาย ฟุ้งจริงๆ เพราะจิตไม่มีถินมิทธะแล้ว มันกลับมาเป็นด้านคิดเตลิดเปิดเปิง ฟุ้งไปถึงอินเดีย ถึงธรรมศาลาโน่น แล้วฟุ้งไปว่า ทำอย่างไรให้ที่บ้านเข้าใจฉันให้ได้ รวมทั้งเรื่องบวช ฉันอยากบวช...


2 มิถุนายน
ย่ำค่ำ


ตั้งแต่อยู่วัดปฎิบัติมา ฉันไม่เคยตั้งจิตกราบพระได้ถูกซักที วันนี้ฉันรู้วิธีกราบพระแล้ว (กราบแบบวิปัสสนากรรมฐาน)


วันนี้ ตอนบ่าย แม่ชีไทย แนะนำให้ฉันได้กราบวิลาสินี(แม่ชี)พม่า ที่เป็นเพื่อนท่าน ฉันจึงไปคุยกับท่านในห้องของแม่ชีไทย วิลาสินีท่านนั้นยังไม่ดูไม่แก่เลย แต่ภาวะด้านในสงบมาก แววตานิ่งลึก คำตอบที่ให้แก่ฉันคือ การตั้งใจปฏิบัติ.... ตั้งใจปฎิบัติ แปลความคร่าวๆได้เท่านี้ แต่ยังมีอะไรอีกมาก วันหลัง ผ่อนคลายกว่านี้ จะเขียนมาเล่าให้ฟัง


อ้อ ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระภิกษุที่อยู่ในรูป ที่เล่าให้ฟังวันก่อน คือท่านตองปุ๊ลุ แห่งเมืองมิถิลา นั่นล่ะจ้ะ


3 มิถุนายน
เที่ยงวัน


ฉันคงเขียนบันทึกถึงเธอน้อยลงแล้วนะ เพราะการทำงานด้านในค่อนข้างจะไปต่อเนื่องแล้ว ฉันไม่อยากจะให้เวลาอันน้อยนิดนี้ มาใช้กับเรื่องอื่นๆ แต่จะส่งข่าวเป็นระยะ ฉะนั้น การเขียนจดหมายเชิงบันทึกถึงเธอ อาจจะพับไป ถ้าฉันทำได้ ค่อยพลิกหน้าตาเรื่องราวเอามาเขียนใหม่


ตอนนี้แค่นี้ก่อนนะ แล้วจะเอามาทบทวนอีกที ถ้าฉันค้นพบวิธีวิปัสสนาไปในขณะเขียนหนังสือได้ด้วย ฉันอาจจะเขียนได้ยาวเหยียดกว่านี้ ตอนนี้ขออ่านข้างในของตัวเองก่อน


ขอบคุณเธอมากที่เป็นกำลังใจ ดูแลให้ฉันได้มาสร้างกุศลในครั้งนี้



ตอนค่ำ


วันนี้เป็นวันที่ดีเป็นพิเศษ ฉันชักชอบเคล็ดลับของสำนักนี้เสียแล้ว แต่ว่าฉันเป็นพวกรู้มากไปหน่อยหรือเปล่าไม่รู้ คือรู้วิธีเลี่ยงเวทนาโดยสมถะ เดี๋ยวจะกลับไปฟัดกับมันต่อ ลงมาอาบน้ำแล้วจิตฟุ้งคิดถึงเธอ หากอยู่ใกล้ๆฉันจะโทรศัพท์ไปหาเธอ ไปหัวเราะกับเธอ เพราะฉันรู้สึกว่าที่นี่คือ สำนักเส้าหลิน โดยเฉพาะวันนี้ คนรอบข้างฉัน อันมีแม่ชีเวียดนาม (ในชุดแม่ชีสีชมพูแบบพม่า) ภิกษุณีไต้หวัน และโยคีจากญี่ปุ่น ทั้งสามท่านมีอาการง่วงเหงากันไปหมด ดูท้อแท้มาก โดยเฉพาะภิกษุณี ที่แต่งตัวแบบกุมารจีน แต่พอตกเย็น กลับเอาจริงเอาจังกันมาก ภิกษุณีท่านนั้นลงทุนสร้างสติด้วยการเดินจงกรมถอยหลัง ฉันว่าอยู่ไปๆ มีอะไรมันๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม่ชีเวียดนามก็สู้กับเวทนาของตัวเองจนต้องถอยออกจากสมาธิมานั่งเหยียดขา พิงเสา


เออะเฮ้อ.....ฉันเกือบจะถอนตัวเสียแล้วเมื่อตอนเที่ยง เพราะคิดว่าคงไม่ไหวที่จะฟันฝ่า ความจริงฉันเคยเผชิญมาบ้างแล้ว ในขณะสมาธิอ่อนๆ เห็นการเกิดดับของมันแล้ว แต่หนนี้พระอาจารย์ให้ฝึกวิชาปราบมารจริงๆ ห้ามฉันหลีกเลี่ยงอีกต่อไป คำสั่งก็คือ อย่าขยับถ้านั่งได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง นี่มันนิยายจีน ตามแบบยุทธจักรชัดๆ (เห็นไหม ว่าฟุ้ง) ตอนเธอเจอ ฉันอยากรู้จริงๆว่าเธอรู้สึกแบบไหน กับวิธีการนี้


ฉันเองจ้ะ