Skip to main content

ไปเป็นโยคีที่เมืองพม่า ตอนที่ 6

คอลัมน์/ชุมชน

4 มิถุนายน
เพื่อนรัก

สิ่งที่ฉันอยากเขียนถึงเธอมลายหายสิ้นแล้ว ยามนี้...ความฟุ้งหายไป จะมีบ้างก็ตอนที่ขับเคี่ยวกับเวทนาติดๆ กันภายในสี่วัน นั่น..ทำให้ฉันนึกถึงเธอแว่บๆ เพราะว่าพอได้เห็น "มัน" แล้ว ฉันเกิดอาการขำตัวเอง นึกในใจว่า "จะบอกใครได้ ดาบเดียวจริงๆ แต่ดาบนั้น จะเป็นเล่มไหน...อย่างไร ขึ้นอยู่กับการหยิบเอามาใช้"


เพราะสิ่งสำคัญที่สำนักฏิบัติสายนี้เน้นย้ำคือ "ความเจ็บปวด(เวทนา) คือประตูสู่นิพพาน"


ตอนเช้าไปสอบอารมณ์ เรียนถามสะยาดอว่า ฉันจะใช้การโยนิโส บ้างได้ไหม (นิสัยดั้งเดิมฉันอยู่แล้ว....แหงๆ) ท่านสะยาดอตอบว่า "ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว" แล้วท่านก็ยิ้ม เป็นยิ้มที่ทำให้ฉันรู้สึกตัวเองเป็นเหมือนเป็นเด็กเจ้าเล่ห์ และท่านก็ถามเหมือนทุกครั้งที่สอบอารมณ์ (สอบวันเว้นวัน) ว่ามาอยู่วันที่เท่าไหร่แล้ว (ไม่รู้ถามทำไม)


ใช่สินะ....วันนี้ ก็วันที่แปดเข้าไปแล้ว ดูเหมือนแป๊บเดียวจริงๆ มิน่าเล่าที่ท่านเชมเย่สะยาดอท้วงว่า หนึ่งเดือนน่ะสั้นมาก และฉันลองคิดเทียบกับอายุของตัวเอง ที่ทำบาปอยู่นอกวัดมานานหลายสิบปี ก็ยิ่งเห็นความสั้นแสนสั้น


แต่การก้าวเดินในเส้นทางนี้ เมื่อมีก้าวแรก ก้าวต่อไปคงไม่ยากเย็นอีก เพียงแต่ว่า
"
บุญบารมีที่สั่งสมมา กับกรรมเก่า อย่างไหนจะใหญ่โตกว่ากัน"


ฝนยังตกทุกวันเลยเธอ ดีว่าเช้าๆ อากาศยังสดใส พอได้ซักผ้าตากบ้าง แต่พอสี่ห้าโมงเย็น ฝนตกกระหน่ำฉ่ำแฉะ ถ้าฉันไม่อยู่ในอาการเฝ้าดูจิต ฉันคงฟูมฟายคิดถึงเมืองไทยปี้ป่นไปแล้ว ทั้งที่ไม่รู้จะคิดถึงบ้านไหน เพราะยังสงสัยตัวเองอยู่เลยว่า "บ้านอยู่ไหน"....เฮ้อ!!!! ชีวิตแบบนกขมิ้นเช่นฉัน น่าจะมาอยู่วัดได้เสียตั้งนานแล้ว แต่เพราะความอิสระนี่แหละที่ทำให้ฉันแค่เฉียดวัดมานาน


ฉันยังเป็นฉันคนเดิมอยู่ใช่ไหม คนที่เธอเคยรู้จักมักคุ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน นะ...อยากบอกว่า วันนี้ ฉันรักเธอมากที่สุด ขอบคุณมากที่สุด ที่กระชากลากถูฉันเข้ามาปฎิบัติในสายนี้ ทำให้ฉันได้มาพบกับสิ่งที่มีคุณค่า และทำให้ฉันมีความรับรู้ใหม่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ในแบบมนุษย์ เมื่อได้มาสัมผัสในสิ่งที่ท่านตรัสไว้ ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" เพราะท่านค้นพบสิ่งนั้น ในฐานะ "มนุษย์" เช่นกัน


หากไม่ได้เป็นเพราะเธอ ที่นำฉันไปรู้จักท่านสะยาดอ อูโสภิตะ สมัยที่ท่านไปเมืองไทย ฉันอาจไม่ได้มาที่นี่ และอาจเป็นเพราะในวันที่เรามาส่งท่านที่สนามบิน ท่านได้เอ่ยปากชวนให้มาปฏิบัติ ฉันรับคำอย่างอัตโนมัติว่า "ค่ะ" (ทั้งๆ ที่ตอนนั้นในใจไม่ชอบวิธีการปฏิบัติแบบทำอะไรช้าๆ นี้เลยสักนิด ติดจะอคติเสียด้วยซ้ำ แต่พอมาปฏิบัติจริงๆ จึงได้เข้าใจว่าทำไม) เหตุเหล่านี้กระมัง ที่เรียกว่า "กรรมสัมพันธ์"


เรื่องการทำอะไรช้าๆ แบบช้ามากๆ จากการอ่านหนังสือของท่านเชมเย่สะยาดอ ท่านเปรียบเทียบว่า อาการของจิต เหมือนการทำงานของพัดลม ใบพัดที่หมุนเร็วทำให้เรามองเห็นว่า นั่นคือ "หนึ่ง" แต่พอมันหมุนช้าลง เราจะเป็น "สาม" เรียกว่าเห็นตามความเป็นจริง (เห็นการเกิดดับของจิตที่ต่อเนื่องกัน)


ฉันอาศัยแกะรอยหนังสือธรรมะของท่านที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ มาทำความเข้าใจเอาเอง เพราะในเวลาที่สอบอารมณ์ โยคีหรือนักบวชแต่ละท่าน จะมีเวลาไม่เกิน 10 นาที ต้องรายงานผลการปฏิบัติให้ตรงประเด็น เช่น นั่ง เดิน นานเท่าใด อาการที่เห็นเป็นอย่างไร ห้ามเยิ่นเย้ออ้อยสร้อย ไม่ต้องบอกว่าฟุ้งในเรื่องอะไร หรือรู้สึกอย่างไรที่นอกเหนือจากนั้น ต้องเกรงใจจำนวนผู้ปฏิบัติที่รอคิวและท่านอาจารย์ที่ต้องทำงานหนักตลอดวัน ไม่ใช่แค่โยคีต่างชาติ โยคีพม่าเองก็ต้องสอบอารมณ์ ไหนจะนักบวชทั้งหลายอีกด้วย หลายท่านต้องใช่ล่าม เช่น แปลภาษาเกาหลีเป็นอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่นเป็นอังกฤษ โชคดีที่ชาวพม่าเก่งภาษาอังกฤษกันเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนรุ่นที่โตมากับการปกครองของอังกฤษ ท่านสะยาดอ จึงเก่งภาษาอังกฤษและเข้าใจปัญหาของคนที่ไม่เก่งอังกฤษ

ภาษาอังกฤษของฉันก็แค่เอาตัวรอด คำบางคำที่ยากจะใช้ภาษาอื่น ฉันจึงทับศัพท์เป็นภาษาบาลี ที่ตรงตัวตรงความหมายไปเลย  เช่น วันหนึ่งฉันมีความฟุ้งซ่านมาก จึงเรียนท่านว่า ไอ เฮฟ อะ ล็อต ออฟ "อุทธัจจกุกกุจจะ" แค่นี้แหละ ท่านก็ยิ้มอย่างเมตตา รอดตัวไป


ตอนนี้ เป็นเวลาห้าโมงเย็นกว่าๆ ทุกคนต่างพักผ่อนในมุมของตัวเอง แต่สหายสามราย เพื่อนร่วมรบของฉัน ยังคร่ำเคร่งอยู่ข้างบน ประกอบด้วย แม่ชีเวียดนาม (ท่านมาจากวัดอมราวดี ประเทศอังกฤษ มาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งปีแล้ว) ภิกษุณีไต้หวัน (มาจากไหนไม่รู้ ) และโยคีสูงอายุชาวญี่ปุ่น


5 มิถุนายน


ว่าจะไม่เขียนอะไรแล้วเชียว แต่อดใจไม่ได้ สติฉันกระเจิง รีบลงมาจากห้องทำสมาธิ เพราะว่าเกิดอาการตัวงอตัวหมุน ขณะที่พิจารณาเวทนาที่เกิดที่บริเวณเข่าไปด้วย มาเรียนถามท่านสะยาดอว่าจะต้องพิจารณาอย่างไร (กำหนดรู้อย่างไร) ท่านสะยาดอบอกว่าเป็นอาการของธาตุลม ให้กำหนดรู้ตามอาการ (แต่เพราะวันนี้มันหมุนมากเลย จนฉันกลัวองค์ลง เลยสมาธิแตก จึงรู้สึกตลกตัวเองในเวลาถัดมา)


(กลับไปปฏิบัติต่อ).....


เกิดเหตุถึงสามครั้ง...เชื่อไหม ฉันผจญกรรมถึงสามครั้ง ทุกครั้งที่เวทนาเกิด จะต้องมีอันให้สมาธิแตก ครั้งแรกสุดที่เกิดเวทนา พอเริ่มมีสมาธิจดจ้อง แมลง (คล้ายแมลงวัน) อะไรไม่รู้ มาเกาะหมับเข้าที่ระหว่างรูจมูกสองช่อง สติแตก ลืมตาไม่เห็นอะไร


วันต่อมา กำลังดูอาการเกิดดับของความเจ็บปวด มีแสงแว่บเกิดขึ้นที่ตา เอ๊ะ ก็รู้อยู่ว่าไม่ใช่แสงจากข้างในแน่ๆ น่าจะเป็นแสงจากข้างนอก แต่แสงอะไร ก็เลือกที่นั่งดีแล้ว นั่งหลบพระอาทิตย์ที่จะสะท้อนเข้ามาทางกระจกหน้าต่าง แล้วนั่งพิจารณาต่อ เลิกสงสัย ตัวก็โอนเอนเล็กน้อย แสงนั่นก็เกิดๆ หายๆ เอ๊ะ...อีก ลืมตาดู เชื่อไหม ตรงกันสาดที่ยื่นยาวออกมาเพื่อบังลมบังฝน และบังแดดตอนสายๆ ได้ทั้งหมดนั้น มีช่องว่างระหว่างกันสาดสองอัน ซึ่งเกิดเป็นรูสามเหลี่ยมเล็กๆ นั่นล่ะ ตรงนั้นล่ะ พระอาทิตย์ส่องเป๋งเข้ามาที่ตาฉันพอดี เฮ้อ....



เมื่อกี้นี้อีก ที่เสียสมาธิ ตอนนั้นกำลังมีสมาธิพอดิบพอดีที่จะฟัดกับเจ้าเวทนา (ความรู้สึกเจ็บที่เกิดขึ้นที่บริเวณขาและเข่า) เธอเอ๋ย พักแรก รู้สึกถึงร่างกายที่อ่อนตัว เอนโอน ก็ตามดูมันเรื่อยๆ คราวนี้ยังสงสัย เพราะตัวมันโอนอ่อนเหลือเกิน จนหัวก้มจรดพื้น จากนั้นค่อยๆ ยืดตั้งตรง ส่วนเวทนาเริ่มเกิดตรงที่ขาพับ ก็จ้องดูมัน.... พักเดียว กำลังจะผ่านจากอาการเจ็บปวดที่แหลมคมเข้าสู่ความผ่อนคลาย เหมือนที่เคยเป็น แมลงวัน มาเกาะหมับเข้าที่ดวงตาที่สาม จะให้ฉันคิดว่าไง ปกติในห้องนี้ ไม่มีทางที่แมลงตัวไหนจะเข้ามาได้เพราะติดมุ้งลวดรอบด้าน แถมนั่งในมุ้งแบบกลดอีกชั้น ไม่ได้สงสัยเรื่องที่ไปที่มาของแมลง แต่สงสัยว่ามาทำไม เท่านั้นแหละ สมาธิตก แต่ก็ยังเฝ้าดูเวทนา ดู ดู ดู จนมันอ่อนกำลังลง หรือจิตมันอ่อนกำลังก็ไม่รู้ หนนี้ เพราะว่าตัวโอนเอนเหมือนเดิม มิหนำซ้ำยังแกว่งไปที่ๆ แมลงวันเกาะอีก จนที่สุดฉันต้องออกจากสมาธิ โดยที่ยังโง่อยู่ อีกอย่างที่สงสัยคือตัวยืดมาก มาก มาก มากเหมือนหัวจะหลุดขึ้นข้างบน แต่ไม่หลุดไปไหน รู้สึกรำคาญเต็มทน อยากให้หลุดๆไปซะที (เธอเคยเจอแบบนี้ไหมเนี่ย)


อาการรู้สึกตัวยืดตัวหดนี้ เรียนถามท่านสะยาดอ ท่านว่าต้องปรับให้อินทรีย์ให้เสมอกัน นั่น....เรื่องลึกลงไปอีก มิน่าถึงต้องมีครูบาอาจารย์ ไม่งั้นกลายเป็นผู้วิเศษไปตั้งแต่ยังไม่โผล่จากหลุมแห่งความโง่


แค่นี้นะจ้ะ...จะไปทำงานต่อ ขอให้เธอได้รับกุศลในครั้งนี้ด้วย

ฉันเอง