Skip to main content

เพลงรักเก่า ๆ ที่ชื่อว่า ธารสวาท


ผมมีเพลงที่ผมชอบ

เป็นพิเศษส่วนตัวอยู่มากมายหลายเพลง มีทั้งเพลงเก่าและเพลงใหม่แทบทุกประเภท ทั้งเพลงไทยและสากล ทุกวันนี้ถึงผมจะหยุดงานเล่นดนตรีห้องอาหาร มาจับเจ่าทำงานเขียนหนังสือเพียงอย่างเดียวอยู่ที่บ้าน แต่ผมก็ไม่เคยลืมที่จะหยิบกีตาร์มาเล่นและร้องเพลงโดยเฉพาะกับเพลงที่ผมชอบเป็นพิเศษ

มิใช่เพราะผมกลัวจะหลงลืม แต่เป็นเพราะว่าผมเล่นกีตาร์และร้องเพลงเท่านั้นเอง จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลก...ทุกวันนี้ เวลานี้ ถึงแม้ผมจะยุติการเล่นดนตรีรับจ้าง เพื่อที่จะได้มีเวลาอ่านหนังสือและเขียนหนังสืออย่างเต็มไม้เต็มมือโดยไม่ต้องไปพะวักพะวงกับงานอื่น แต่ผมไม่เคยปฏิเสธคำเชิญชวนไปเล่นดนตรีในงานปาร์ตี้หรืองานกิจกรรมสังคมใด ๆ ถ้าหากไม่มีปัญหาติดขัดจริง ๆ

บางที...เขาไม่ได้เอ่ยปากเชิญชวนสักหน่อย
ผมก็เสนอตัวเข้าไปเอง
โธ่...ก็ของมันชอบนี่ครับ
ทำเป็นแอ็คอาร์ตวางมาดติสท์
ให้เสียโอกาสทองของชอบไปทำไม


เพลงรักเก่า ๆ ที่มีชื่อว่า ธารสวาท

เป็นเพลงไทย เพลงหนึ่งที่ผมชอบเป็นพิเศษ แทบทุกครั้งที่ผมเล่นกีตาร์และร้องเพลง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นและร้องอย่างเป็นการเป็นงาน เล่นตามโต๊ะเหล้า หรือเล่นให้ตัวเองฟังที่บ้าน ผมจะต้องเล่นเพลงนี้โดยอัตโนมัติแทบทุกครั้ง ประมาณว่าจับกีตาร์ขึ้นมาทีไร เพลงนี้จะต้องมาเข้าคิวรออยู่ด้วยแทบทุกครั้ง และบ่อยครั้งเข้ามาเป็นอับดับหนึ่ง

ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่าเพลงนี้ใครเป็นนักร้องต้นแบบ แต่เท่าที่ผมฟัง ๆ มา ไม่ว่าใครจะนำเพลงนี้ไปร้องในเวอร์ชั่นไหน เพลงนี้ก็ฟังดูเพราะไปหมดทุกเวอร์ชั่น แต่โดยส่วนตัวของผมแล้ว ผมชอบเวอร์ชั่นที่คุณทิพย์วรรณ ปิ่นภิบาล นักร้องชื่อดังในอดีตร้องมากที่สุด เพราะลีลาการร้องด้วยน้ำเสียงที่สดใส และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเสียงของคุณทิพย์วรรณ มีลักษณะเป็นสากล และได้อารมณ์เปลี่ยวเศร้าของเพลงจับใจเป็นยิ่งนัก

คุณเคยฟังเพลงรักเก่า ๆ เพลงนี้ไหม เพลงของคนอกหักเพราะถูกคนรักทอดทิ้ง แล้วพร่ำเพ้อพิไลกับกระแสธารว่า


โอ้ กระแสธารเจ้าเอย
หลั่งเลยไหลมาจากดอย
ผ่านเลยพ้นไม่หยุดคอย
ฉุดใจพลอยให้โศกศัลย์


ดุจคนรักมาพรากไกล
พรากใจรักไปจากฉัน
ถ่านไฟรักจึงดับพลัน
ปล่อยให้ฉันซมเศร้าใจ


โอ้ ธารรักธารสวาทที่ฝัน ฉุดใจฉันไปกับธารหลั่งไหล
โปรดนำรักไปมอบเธอเอาไว้ อย่าร้าวใจราน


โอ้กระแสธารร่มเย็น
โปรดแลเห็นความต้องการ
มอบความรักความชื่นบาน
สู่สวรรค์อันรื่นรมย์


และทุกครั้งที่ผมเล่นเพลงนี้

ผมมักจะหวนประหวัดคิดถึงบทกวีสั้น ๆ บทหนึ่งของ อังคาร กัลยา ณ พงศ์ ที่เขียนถึงความเปลี่ยวเศร้าในวัยหนุ่มของกวีที่ยากไร้และปราศจากคนรัก ด้วยเนื้อหาและอารมณ์เศร้าคลาสสิกเสมอกันเอาไว้ว่า

ไหลมาจากไหนกระแสธารา
ไหลมาจากปุยเมฆาในฟ้ากว้าง
จะไหลอยู่อย่างอ้างว้าง
ตราบโลกร้างสิ้นดินทราย


ดังนั้น บ่อยครั้งที่ผมเล่นกีตาร์และร้องเพลงในงานปาร์ตี้ ที่แลดูค่อนข้างมีรสนิยมดี ก่อนจะขึ้นเพลงนี้ ผมมักจะท่องบทกวีนี้ของ อังคาร ที่ผมท่องได้ขึ้นใจเพราะเป็นบทกวีที่ผมชอบมาก ๆ แล้วจึงค่อย ๆ ขึ้นอินโทรเล่นเพลงนี้ด้วยอารมณ์อันดื่มด่ำ และภายในห้วงเวลาแห่งการผสานตัวเองเข้ากับสุนทรียะของบทกวีและเพลงเศร้านี้ คนที่ผ่านความผิด ถูก ชั่วดี ของชีวิต ผ่านสงครามการต่อสู้เพื่อการอยู่รอดที่เต็มไปด้วยบาดแผลชีวิตมาอย่างโชกโชนอย่างผม มักจะพลันรู้สึกว่า ชีวิตจิตใจอันบอบช้ำของตัวเองที่ยังอยู่รอด และยังคงมีชีวิตอยู่ ได้รับการบำบัดเยียวยา และชำระล้างอย่างหมดจดเกลี้ยงเกลา ไม่มีแม้แต่รอยแผลเป็นใด ๆ แม้เพียงแค่เศษละอองธุลี เป็นรอยมลทินเกาะติดอยู่ในหัวใจ...


ด้วยความซาบซึ้งจากการแจ้งประจักษ์นี้
ผมจึงไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเอง
หรือถามใคร ๆ ว่า
บทกวีและเสียงเพลง
มีคุณค่าความหมายต่อชีวิตอย่างไร.


31 กรกฏาคม 2550
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่