Skip to main content

แสงแดดในฤดูฝน

คอลัมน์/ชุมชน

"ท่าทางฝนจะตกหนักอีกแล้วนะ"
คนเอ่ยเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เบิกดวงตากว้างแล้วจึงค่อยๆ หรี่ลง บนนั้นมีก้อนเมฆมหึมาที่สีดำคล้ำเคลื่อนตัวเหมือนผ้าคลุมของเทวดา มันเลื่อนเข้ามาใกล้เมืองมนุษย์เรื่อยๆ ย้ายจากทิศใต้ไปเหนือตามแรงลมอย่างอ้อยอิ่ง ยิ่งคนกลัวฝนเท่าไหร่ จะเห็นว่ามันเคลื่อนช้าขึ้นไปอีก

ดูราวกับไม่มีทางที่ลมจะพัดหายได้ทันก่อนเวลากลับบ้าน


หญิงวัยกลางคนรีบวางไม้กวาดลง โดยที่เธอไม่ทันสังเกตเห็นว่า มุมที่เพิ่งจัดเอาไว้นั้นไม่ใช่ที่วางไม้กวาดหรือมุมเก็บของแต่อย่างใด แต่มันเป็น "มุมศิลปะ" ฉันเรียกของฉันอย่างนั้น เฟรมผ้าใบ จานพู่กัน กองกระดาษ ฉันคิดว่าเรียงเอาไว้อย่างดีแล้ว แต่ด้วยยังไม่มีชั้นวาง มันก็จึงกองรวมกัน นอกเหนือไปจากภาพเขียนบางส่วนที่เสร็จแล้ว ฉันพิงเอาไว้ง่ายๆ กับชั้นเหล็กซึ่งประดิษฐ์มาจากขาเตียงของเพื่อน


ฉันยิ้ม เมื่อส่วนหนึ่งของที่วางงานศิลปะ มีไม้กวาดเสียบอยู่ นอกจากนั้น ยังมีผ้าอีกผืน มันเป็นผ้าขี้ริ้ว เช็ดเสร็จแล้ว ซักเสร็จแล้ว มันถูกพักพิงเอาไว้ในฐานะที่กำลังรอใช้งาน เธอพาดไว้ตรงนั้น ไม่สนใจเลยว่าความชื้นจะเปรอะเปื้อนไปยังภาพเขียนหรือไม่


ฉันยังอมยิ้มอยู่ ภาพเขียนของฉันคงไม่ได้มีความสำคัญอะไรนัก ความสะอาดและความเป็นระเบียบนั่นต่างหากเป็นสิ่งที่อยู่ในสายตาเธอ เธอผู้เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ คนดูแลบ้าน เพื่อนต่างวัย หรืออะไรก็ตามที่จะเรียก เธอจะอยู่ในบ้านของฉันทุกวันพุธ เพื่อทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ คอยจัดแจงเอาขยะไปทิ้ง อะไรที่ใกล้หมด เธอจะบอกให้รีบไปหามา


จากที่ฉันคิดว่า ให้เธอมาช่วยเฉพาะช่วงที่ยุ่งๆ เธอกลับกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว 
ทุกครั้งที่เธอมา จักรยานสีม่วงจะถูกจอดไว้ข้างเสาไฟฟ้า เดินเข้าบ้านมา ถอดแจ๊คเก็ต แขวนไว้หน้าบ้าน แล้วเดินเข้าหาอุปกรณ์ทำงาน เธอจะเริ่มตามที่เธออยากทำ อาจช่วยเก็บหนังสือให้เข้าที่ แล้วค่อยกวาดถูพื้น บางครั้งเธอไปล้างจาน แล้วมาล้างห้องน้ำ ฉันปล่อยให้เธอทำตามสะดวก ไม่มีคอมเมนต์ ไม่มีการเรียกร้อง ส่วนไหนที่ฉันทำไปแล้ว เธอก็จะมองเห็นได้เอง บางครั้งหากฉันขยันหน่อย เธอก็ได้แต่ยิ้ม เหลือก็แต่ต้องรอชิมอาหารที่ฉันทดลองทำเสียก่อน



"ท่าทางฝนจะตกหนักจริงๆ"
เธอพูดอีกแล้ว สำหรับวันนี้ แววตาเธอไม่สุกใสเอาเสียเลย เริ่มต้นกวาดบ้านได้ไม่เท่าไหร่ เธอก็พิงไม้กวาดไว้ แล้วไปหยิบผ้ามาเช็ดโต๊ะอาหาร


เธอเดินวนไปมา หลังจากเอาขยะไปทิ้ง แต่ยังมีเหลืออีกถังหนึ่ง ฉันหยิบแล้ววิ่งตามออกไป เธอรีบบอกว่า  "ไม่ได้ลืม แต่เดี๋ยวค่อยทิ้งทีหลัง" เธอว่า แล้วทิ้งห้องข้างล่างเอาไว้ จากนั้นเดินขึ้นไปชั้นบน ฉันงงเล็กน้อยๆ กับลำดับของเธอ แต่ก็ทำเงียบเฉยไปเสีย ไม่กี่นาที เธอก็เดินลงมา ลอดสายตาตามไปแล้วก็พบว่าเธอช่วยเก็บผ้าให้อย่างดี เพียงแต่ผ้าที่ซักแล้วกับที่ยังไม่ได้ซัก กลายเป็นกองเดียวกัน กลิ่นหอมใหม่กับกลิ่นตุตุ กำลังตลบอบอวลเข้าด้วยกัน และวางเงียบๆ อยู่มุมหนึ่งของห้อง


ฝนใกล้จะตกแล้วจริงๆ อย่างเธอว่า ในเวลาสาย ที่แดดร้อนเริ่มมา ฤดูฝนก็เป็นแบบนี้ ตกมาโดยไม่มีเวลากำหนด ลมพัดมาแรงๆ เหมือนสิ่งที่อยู่ในความคิดเธอ บางอย่างวูบไหวให้รู้สึก โดยที่ไม่ต้องบอกกล่าว


"ป้าไม่สบายหรือเปล่า พักก็ได้นะ ไม่ต้องรีบหรอก"  ฉันว่า พลางช่วยเก็บโต๊ะ เธอไม่เล่นหัวเหมือนเคย ได้แต่เหลือบไปดูเมฆฝน 
"ป้าตากผ้าไว้หรือเปล่า" ฉันถาม
"อ๋อ เปล่าๆ" เธอตอบสั้นๆ ใบหน้ามีรอยกังวล ฉันเลยปลอบใจเบาๆ
"ฝนตกก็เย็นดีนะป้า ไม่ต้องรีบหรอก เดี๋ยวกินข้าวเที่ยงด้วยกัน กำลังตุ๋นหมูเอาไว้จะทำแกงจืดมะระ"
ฉันรีบโฆษณาสูตรอร่อยเด็ดเฉพาะตัว เผื่อแกจะอารมณ์ดีขึ้น แต่ที่ไหนได้ ก้อนเมฆนั้นคงย้ายมาอยู่ในดวงตาหมดแล้ว หญิงวัยกลางคนนั่งลง แล้วก็รำพึง


"ช่วงนี้ปุกปุยไม่ค่อยสบาย มันไม่ขยับตัว"  ฉันนึกภาพตาม น้องหมาตัวน้อยของป้า ชื่อปุกปุยเป็นหมาสีขาว อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ บนผืนดินไม่มีใบโฉนดมาตั้งแต่ตัวยังเล็กๆ ตอนนี้ปุกปุยเริ่มแก่และอ้วน แถมมีโรคประจำตัวคือมะเร็งที่ต้นขา เพื่อนกินเพื่อนนอน เพื่อนเล่นและเพื่อนตายตัวนี้ จึงเริ่มไม่อยากขยับตัว


"ก่อนป้ามา เห็นมันอยู่แต่ในห้อง ป้าเลยเอามันออกมารับแดดใต้ต้นไม้หน้าบ้าน แต่ตอนนี้ถ้าฝนตก มันจะวิ่งเข้าไปได้หรือเปล่าไม่รู้"
รอยกังวลนั้นที่ฉันเห็น เฉกเช่นแววตาแม่เมื่อสิบปีก่อน ผู้ซึ่งเคยคว้าร่มเดินฝ่ากลางฝน ท่ามกลางเสียงร้องครืนๆ และเสียงฟ้าผ่า แม่กลัวฉันเปียกระหว่างทางกลับจากโรงเรียน ความเป็นห่วงเป็นใยที่มีอยู่ในชีวิต คือจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการรู้จักความอาทร มาถึงตอนนี้ ผู้หญิงตรงหน้า ทำให้ฉันมองเห็นดวงตะวันฉาย แม้รู้ว่าอีกไม่นานนักฝนกำลังจะตก


"ป้ารีบกลับไปเก็บปุกปุยก่อน ไม่เป็นไร เหลืออีกไม่เยอะ เดี๋ยวทำเองได้"
"ยังเหลืออีกเยอะเลยนะ ป้ายังไม่ได้ช่วยล้างห้องน้ำเลย" 
"ไม่เป็นไรป้า เอาไว้ก่อน นิดหน่อยเอง เดี๋ยวค่อยมาทำก็ได้ หรือไม่เดี๋ยวค่อยๆ ทำไป วันนี้ไม่ยุ่งเท่าไหร่"
ฉันรีบพูดไปแบบนั้น แม้ใจจะรู้ว่ามีงานรออยู่มากมายที่ต้องทำ ป้ามีแววตาลังเล มองซ้ายที ขวาที อะไรถืออยู่ก็ค่อยๆ วางลงช้าๆ ฉันรีบเดินไปหยิบไม้กวาดออกจากมุมศิลปะ


ฉันทำขึงขังเหมือนจะช่วยรับช่วงต่อ แอบยิ้มให้กับรูปวาดที่เปรอะไปเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไรหรอก จะมีอะไรสำคัญเทียบเท่ากับชีวิตน้อยๆ ที่รอป้าอยู่


ฉันคิดขณะป้าตัดสินใจเดินไปหยิบแจ็คเก็ต ร่ำลากันเสร็จแล้ว ก็มองเห็นเธอปั่นจักรยานออกไปอย่างรวดเร็ว
กลับเข้ามาในบ้าน มองไปตรงหน้า ยังไม่มีอะไรเข้าที่ แต่ไม่สำคัญหรอก ทุกอย่างที่สกปรกเราล้างออกได้เสมอ ถ้วยชาม ตู้ ชั้น ภาชนะ และร่างกายของเรา เหลือก็แต่เพียงจิตใจเท่านั้น ที่บางครั้งอาจจะลืมเลือนที่จะชำระ


.............................


"ฝนไม่ตกแล้ว"
เสียงใครลอดเข้ามาในบ้าน หันออกไปมอง ป้าคนเดิมยืนยิ้มพร้อมจอดจักรยาน


ฉันเงยหน้าไปดูท้องฟ้า เหมือนปาฏิหาริย์ ผ้าคลุมเทวดาถูกลมพัดพาไปทางทิศเหนือ ไปเร็วอย่างไม่ทันคิด ก้อนเมฆใสใสเริ่มเคลื่อนไหวเข้ามาแทน ฟ้าเปิดออก มองเห็นสีฟ้าอยู่เหนือจักรวาลกว้างใหญ่
"โห จริงๆ ด้วย"
"ดูนั่นสิ แดดออกแล้ว"
เธอชี้ไปยังท้องฟ้า แสงสีขาว ค่อยๆ กระจายลงมา นึกอยากหยิบกล้องถ่ายรูป แต่ก็เปลี่ยนใจ วินาทีเหล่านั้น จะมีอะไรบันทึกได้ดีเท่ากับสายตาและหัวใจของเรา


"ดีใจจริงๆ ที่แดดออก" ฉันพูดทิ้งท้าย มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง ที่มีแดดออกและมีฝนตก
คงมีแต่ป้าเท่านั้นที่จะรู้ว่า แสงแดดในฤดูฝนยามนี้ มีค่าเพียงใด