Skip to main content

มานะ มานี กับเวลาดีๆ ของแม่

คอลัมน์/ชุมชน




สมัยที่แม่อายุเท่าฉันในตอนนี้ แม่มีลูกสาวอายุสิบหกแล้ว ส่วนฉันนั้น นอกจากจะโสดสนิท (ศิษย์ส่ายหน้า) กับคอยมองหาคานดีๆ ที่จะปีนขึ้นไปอยู่ ก็ยังไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรสักอย่าง

ใครสักคนบอกว่าคนเรารับภาระของชีวิตได้แค่ไหน ให้ดูตอนมีลูก โบราณว่ามีลูกหนึ่งคนจนไปเจ็ดปี แต่แม่ว่าไม่จริงหรอก ถึงป่านนี้ก็ยังจน แล้วก็คงจะจนตลอดไปนั่นแหละ เพราะลูกสาวแม่ช่างไม่ตะเกียกตะกายจะรวย (เพื่อแม่)เอาเสียเลย ทั้งที่แม่เลี้ยงลูกๆ มาอย่างเหนื่อยยากแท้ๆ (พูดเรื่องนี้ทีไร แม่เขาจะทำเสียงน่าสงสารมาก)


แม่อยู่เฉยๆ ไม่เป็น หลังเกษียณแทนที่จะพักผ่อนนอนเล่นก็วิ่งไปรับเลี้ยงหลานตามบ้านญาติๆ ยามว่างนอกจากจะทำความสะอาดบ้านบ่อยจนฝุ่นไม่มีโอกาสเกาะแล้ว ยังหาเศษกระดาษมาม้วนเป็นหลอดๆ แล้วร้อยเป็นม่านไปติดประตูบ้านลูกๆ คนนั้นคนนี้ (พอคล้อยหลังแม่ ลูกบางคนก็แอบเปลี่ยนม่าน)


ตอนเขาฮิตต่อจิ๊กซอว์กัน แม่ก็กว้านซื้อภาพจิ๊กซอว์มานั่งต่อทั้งวันทั้งคืน ไม่หลับไม่นอน ต่อเสร็จใส่กรอบแขวนบ้างตั้งบ้างจนผนังในบ้านไม่พอ ให้ใครๆ ไปก็ยังเหลือภาพอีกกองพะเนิน


พอมาอยู่บ้านนอกกับฉันที่บ้านสี่ขา แม่ก็ตั้งหน้าตั้งตาหางานให้ตัวเองทำ นับตั้งแต่หาเห็บหมา เผาขยะ ถางหญ้า ปลูกต้นไม้ เปลี่ยนหลอดไฟ ขึงผ้าใบ ไปจนถึงซ่อมรั้ว (ถ้าเปิดอู่ซ่อมรถได้แม่คงทำไปแล้ว)


ปริมาณแมวและหมาในสถานสงเคราะห์เอ๊ยบ้านสี่ขาของเรา ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของแม่


"วานซืนแม่ไปตลาดหน้าอำเภอ มีลูกแมวสองตัวถูกทิ้งไว้ที่ส้วมสาธารณะแน่ะ" แม่เกริ่นขึ้นในวันหนึ่ง ถึงเดาได้ว่าจะมีอะไรต่อก็อย่าทำหูทวนลมเชียว ลูกที่ดีต้องไม่ทำให้แม่น้อยใจ
"
คนเฝ้าบอกว่าคงมีคนแกล้งมาเข้าส้วมแล้วแอบทิ้งเอาไว้ แม่เวทนามันจังเลย ผอมโซหัวโตเชียว โถ ช่างทิ้งมันได้ลงคอ อายุไม่ถึงเดือนมั้ง คนเฝ้าส้วมเขาก็ไม่ชอบเลี้ยงแมว ให้ใครก็ไม่เอา เขารำคาญมันร้องทั้งวันทั้งคืน อยากจะเอาไปทิ้งขยะ"
"
อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ" ฉันช่วยออกความเห็นเพื่อให้แม่เข้าเป้าเร็วขึ้น
"
นั่นน่ะสิ มันต้องร้องหาแม่แน่ๆ โถ ตัวเล็กนิดเดียว ใส่ตะกร้านี่ยังได้เลย" แม่ขยับตะกร้าใบเล็กข้างตัว (ลุกไปหยิบมาตอนไหนนะนี่!)


ฉันถอนใจดังเฮ้อ แล้วจึงพูดประโยคที่ (คาดว่า) แม่รอฟังอยู่
"
สงสัยคงต้องช่วยมันแล้วละ"
"
โอ๊ย แม่ก็ว่าจะพูดอยู่พอดี" แม่อุทานเสียงดัง ตาเป็นประกายขณะลุกขึ้นคว้าตะกร้าอย่างกระตือรือร้น ฉันอดถามไม่ได้
"
แน่ใจนะ ว่าแมวๆ ที่มีอยู่ตอนนี้น่ะ ยังไม่มากพอ" ฉันตอกย้ำความสมัครใจ
"
โถะ" แม่ทำเสียงเยาะๆ "ตั้งยี่สิบเจ็ดตัวยังเลี้ยงมาได้"


แม่คงลืมเรื่องจำกัดจำนวนสมาชิกบ้านสี่ขา หรือลืมว่าที่ฉันทำงานงกๆ ไม่ได้หยุดทุกวันนี้เพราะอะไร แต่เห็นท่าทางดีใจของแม่แล้วฉันก็พูดไม่ออก ถ้าทำเฉยเสีย แม่คงไม่เซ้าซี้ แต่ฉันรู้ว่าแม่จะกังวลห่วงใยสวัสดิภาพของลูกแมวจนนอนไม่หลับไปอีกหลายคืน


และอันที่จริง ลูกแมวสองตัวคงไม่ได้ทำให้ฉันทำงานหนักขึ้นกว่าที่ทำอยู่แล้ว
แม่จัดแจงหารถรับจ้างออกไปอำเภอ แล้วหอบหิ้วลูกแมวกลับมาด้วยท่าทางภูมิใจจนเห็นได้ชัด


"ตั้งชื่อให้มันหน่อยสิ" แม่มอบหมายหน้าที่อันทรงเกียรติให้ฉัน
เจ้าสองแมวกำพร้ากระดำกระด่าง ผอมกะหร่องจนเห็นแนวซี่โครง ส่งเสียงร้องมี้ มี้ ดังแผ่วๆ แหบแห้ง ฉันจับมันหงายท้องดูว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมียแล้วจึงประกาศ
"
มานะกับมานี"

"
มานะ มานี" แม่ทวนด้วยเสียงสูง "ไปเอาชื่อใครเขามาตั้งน่ะ"
"
อยู่ๆ ก็นึกถึงมานะ มานี ในหนังสือเรียนชั้นประถม แต่รุ่นหนูไม่ได้เรียนเรื่องนี้หรอก หนูเรียนเรื่องนกกางเขน สี่พี่น้อง นิ่ม นิด หน่อย น้อย"
"
ของแม่ไม่ใช่นกกางเขน" แม่ขยับตัวเล็กน้อยแบบตื่นเต้นในการย้อนอดีต
"
แม่เรียนเรื่องแม่ไก่ดื้อ เคยได้ยินไหม แสนเสียดายนันทาที่น่ารัก ชะล่านักเลี่ยงออกนอกถนน มัวแต่เพลินปลาบปลื้มจนลืมตน ถูกรถยนต์แล่นทับดับชีวา" แม่ท่องกลอน
"
เศร้าออกจะแย่ โอ๊ย เรียนถึงตอนท้ายแม่ร้องไห้เลยนะ"


เรื่องเล่าของแม่เรียกความทรงจำของฉันออกมาเป็นฉากๆ


ตอนนั้นฉันชอบวิชาภาษาไทย เรียนทีไรมีความสุขเพราะได้พูดคำใหม่ๆ ได้หัดอ่านทำนองเสนาะและกลอนสนุกๆ อย่างบทนี้
"
ระฆังดังเหง่งหง่าง ฆ้องใหญ่กว้างครางหึ่งหึ่ง กลองหนังดังตึงตึง ตีกระดึงดังกริ่งกริ่ง นักเลงร้องเพลงพลาง ตรงหน้าต่างไขว่ห้างหยิ่ง เอาหลังนั่งเอนอิง มือถือฉิ่งตีดังดัง"


นึกเถียงครูอยู่ในใจว่าระฆังอะไรดังเหง่งหง่าง เพราะระฆังโรงเรียนที่เคาะบอกเวลาเข้าแถว พักเที่ยง กับเลิกเรียนนั้น ฟังทุกครั้งมันก็ดังเก๊งเก๊งทุกทีไป
"
เจ้านกน้อยน่ารักร้องทักว่า ไปไหนมาหนูเล็กเด็กชายหญิง ทั้งรูปร่างหน้าตาน่ารักจริง ข้ายิ่งดูก็ยิ่งจำเริญตา" ฉันท่องนิทานร้อยบรรทัดให้แม่ฟัง
"
แม่ชอบเรียนเรื่องอุดมเด็กดี" แม่ยังไม่กลับจากอดีต
"
อุ๊ย หนูก็ชอบ อ่านแล้วอยากเย็บเชือกเป็นพรมเช็ดเท้าขายอย่างอุดมจังเลย"
"
อะไร เราเรียนด้วยเหรอเรื่องนี้ คนละหลักสูตรแล้ว นั่นมันสมัยแม่"
"
ไม่ได้เรียนหรอก แต่เคยอ่าน หนังสือเล่มนี้คุณตาเก็บไว้ในหีบ"


ฉันคิดถึงหีบใบใหญ่ของคุณตาที่มีทั้งหมวกทหาร ชุดทหาร ร่มชูชีพ เป้ หม้อสนาม แล้วก็หนังสือเก่ามากมาย
"
คุณตาเราเป็นเด็กกำพร้านะ โตมาในวัด" แม่ย้อนไกลไปกว่าเก่า ดวงตามีประกายความสุข "แต่ก็เก่ง เป็นเด็กวัด แต่พยายามจนได้เป็นทหารม้านะ คุณตามีม้าเทศสีขาวตัวใหญ่ ชื่อเงินดีแท้ แม่เคยขี่ด้วย พลทหารอุ้มแม่ขึ้นหลังม้าแล้วก็จูงไปเดินเล่น คุณตามีคอกหมู มีเล้าไก่ ทหารรับใช้ต้องสับหยวกกล้วยให้หมูทุกวัน"


"แม่เคยมีทหารรับใช้ด้วยเหรอ" เพิ่งรู้นะเนี่ย
"
ใช่สิ อุ๊ย สมัยนั้นแม่แสนสบาย ไม่เคยต้องซักผ้าเองสักที จานสักใบก็ไม่เคยล้าง ทหารรับใช้ทำหมด ขัดรองเท้านักเรียนให้ด้วยนะ" แม่คุยเขื่อง


"แหม แล้วทำไมหนูต้องซักผ้าหุงข้าวเองตั้งแต่ห้าขวบล่ะ ต้องหิ้วปิ่นโตเดินไปโรงเรียน แถมยังต้องเคี่ยวแป้งเปียกนั่งพับถุงขาย ร้อยถุงได้สิบสลึงเอง" ฉันโวย
"
อ้าว ก็แม่เป็นคุณหนูนี่ ลูกนายพันทหารม้านะ แต่เราน่ะลูกข้าราชการต๊อกต๋อย เงินเดือนไม่พอยาไส้" แม่เหน็บไปถึงพ่อที่เดินคนละทางกับแม่ตั้งแต่ลูกคนเล็กอายุแค่หกเจ็ดขวบ


แม่ใช้สำลีเช็ดขี้ตาและเช็ดหน้าลูกแมว ผสมน้ำสุกกับนมผงแล้วใช้ไซริงค์ดูดมาป้อนเจ้ามานะกับมานี ที่พอกินนมจนท้องป่องแล้วก็นอนกอดกันหลับปุ๋ยไปเรียบร้อย แม่นั่งมองแมวน้อยสองตัวด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม ปลาบปลื้มในวีรกรรมของตัวเอง
"
เห็นแล้วนึกถึงสมัยที่ลูกยังเล็กๆ นะ แม่ให้ดูดนมได้แค่เดือนเดียวก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว โอ๊ย นมคัดจนน้ำตาแทบร่วง น้ำนมซึมเลอะเสื้อแม่หมดเลย"


แม่ขยับตัวเตรียมเล่าตำนานอีกบทหนึ่ง ฉันก็ขยับตัวจากท่านั่งเป็นนอน เพราะถ้าลองเริ่มตั้งแต่ "สมัยที่ลูกยังเล็กๆ" ละก็ ยาวแน่ๆ


เรื่องเล่าหลากรสของแม่มีทั้งสุข เศร้า เหงา และรัก บอกถึงวันเวลาอันควรค่าแก่การจดจำของผู้หญิงคนหนึ่ง ฉันรักช่วงเวลาเหล่านี้ อยากตักตวงเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะนอกจากจะได้ค้นพบความหมายและรากเหง้้าของตัวเองจากเรื่องเล่าของแม่แล้ว เส้นผมเปลี่ยนสีกับหลังที่เริ่มงอลงนิดๆ ของแม่ยังย้ำเตือนว่า วันเวลาแห่งความรื่นรมย์ระหว่างเราจะค่อยๆ สั้นลงเรื่อยๆ


คุณล่ะคะ มีเวลาฟังเรื่องเล่าของแม่บ้างไหม