Skip to main content

บัวสีเทา: จิ๊กโก๋บ้านนอก

คอลัมน์/ชุมชน

จิ๊กโก้บ้านนอก
ภาพจิ๊กโก๋บ้านนอกไม่ใช่มีแต่พี่เหน่งคนเดียวเท่านั้นที่เรารู้จัก พี่ก้องเป็นอีกคนที่ผมรู้จักจากการแนะนำของพี่เหน่ง

พี่ก้องและ กลุ่มของเขา ทำให้ผมเข้าใจถึงวิถีชีวิตของกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันเหมือนกลุ่มวัยรุ่นทั่วไป แต่สุดท้ายต้องถูกคนในชุมชนมองว่าเป็น "เด็กแก๊ง" เพิ่มขึ้นอีกนิด


พี่ก้องมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ก้องเป็นคนที่ 2 มีพี่สาวและน้องชาย ตอนนี้อยู่กับพ่อและแม่ พี่ก้องอายุ 24 กว่าปีแล้ว ตอนนี้เรียนการศึกษานอกโรงเรียนระดับ ม.ปลาย เขาทำงานโดยการรับจัดสวน ตัดหญ้ากับพ่อและมักมีปัญหาในการทำงานเพราะวันไหนถ้าดื่มเหล้ามาก ๆ แล้วไปทำงานไม่ไหว ทำให้พ่อต้องทำคนเดียวและด้วยการกระทำที่บ่อยครั้งๆ นี้ แม่จึงตัดสินใจไม่ให้พี่ก้องไปทำงานอีก ตอนนี้เขาเลยกลายเป็นคนว่างงาน


อย่างที่พี่ก้องบอก "เรื่องครอบครัวก็คงเป็นเรื่องเมาแล้วไปทำงานไม่ได้ แต่การใช้ชีวิตด้านอื่นๆ ครอบครัวไม่ได้ต่อว่าแต่อย่างไร"


การไม่ได้ทำงานที่ไหนนี่เอง ที่เป็นโอกาสทำให้พี่ก้องได้พบปะเพื่อนฝูงบ่อยมากขึ้นกว่าเดิม เขาและเพื่อนในชุมชนได้ถูกเรียกว่าแก๊ง เนื่องมาจากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์โดยพี่ก้องและพวกอีก 3 คน ได้ไปมีเรื่องกับใครไม่รู้ในร้านเหล้าและได้ต่อยคู่กรณี จึงโดนตำรวจจับ และมีคนมาถามว่าอยู่ตำบลอะไร ก้องได้บอกไปและวันต่อมา หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าแก๊ง…(ชื่อตำบลยกพวกถล่มคู่อริจนบาดเจ็บสาหัส จึงทำให้กลุ่มของก้องมีชื่อเป็นกลุ่มตามตำบล นับแต่นั้นเป็นต้นมา


พี่ก้องไม่เคยอยู่กลุ่มไหนมาก่อน แต่การรวมกลุ่มจะรวมกันภายในหมู่บ้านประมาณ 10 กว่าคน และจะมีเพื่อนนอกหมู่บ้านประมาณ 5-6 คน ซึ่งเป็นเพื่อนที่ไปมาหาสู่กันประจำ โดยมาจากหลายที่ เช่น สันทราย สันกำแพง และในเมือง บางคนที่รู้จักกันเพราะเพื่อนแนะให้รู้จักแล้วจึงคบกันมาเรื่อยจนสนิทกันมากขึ้น


พี่ก้องเชื่อว่า "สุราเป็นบ่อเกิดมิตรภาพและความจริงใจ"


เพราะโดยปกติหากไม่มีกิจกรรมหรืองานทำงาน เขาและเพื่อนในชุมชนจะรวมกลุ่มกันที่บ้านของเพื่อนเพื่อดื่มเหล้า บางวันหากไม่มีอะไรทำจะนอนตอนกลางวัน พอตกเย็นไปเล่นฟุตบอลที่สนามกีฬาของโรงเรียนประจำหมู่บ้าน เล่นฟุตบอลเสร็จจึงกลับบ้าน เพื่อนั่งดื่มเหล้ากับเพื่อนในหมู่บ้าน ถ้าใครไม่มีเงินก็ช่วยกันจ่าย ใครมีเงินก็เลี้ยง ผลัดเปลี่ยนกันเลี้ยง ถ้าไม่มีเงินจริงๆ ถึงไปกินกับผู้ใหญ่แถวบ้าน


"ถ้าอยู่กันเป็นกลุ่มส่วนใหญ่จะนั่งดื่มเหล้า เล่นหมากรุก คุยกันเรื่องสาวๆ เรื่องเที่ยว ส่วนเรื่องตีกันก็มีบ้างแต่ก็ไม่บ่อยเพราะว่าไม่ชอบหาเรื่องใครถ้าตีกันบางทีมีคนมาหาเรื่องก่อน บ้างก็เป็นคู่อริกันมาก่อน บ้างก็ไปช่วยเพื่อน"


แม้ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของคนในชุมชนว่ากลุ่มของพี่ก้องเป็นกลุ่มที่นิยมความรุนแรง ทั้งที่เขาเองจะทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปและมองว่าไม่ได้เป็นแก๊ง เพราะยังไม่ถึงขั้นทำความวุ่นวายอะไรให้กับใครมาก แต่ ณ ตอนนี้ผู้มีอำนาจในหมู่บ้านต่างจับจ้องเพื่อเล่นงานกลุ่ม เพราะกลุ่มของพี่ก้อง ถูกมองว่าเป็นขี้เหล้า ขี้ยา ชอบมีเรื่องตีกัน ขับรถเสียงดังรบกวนชาวบ้าน


"ที่เรามารวมกันก็มานั่งคุยกัน ดื่มเหล้า เพราะเราอยู่บ้านเดียวกันรู้จักกันตั้งแต่เด็ก เราก็รู้ว่าดื่มเหล้ามันไม่มีประโยชน์ แล้วจะให้ทำยังไงก็มันเป็นแบบนี้ไปแล้ว แต่มันช่วยสร้างความสัมพันธ์ให้กลุ่มของเรารักกันมากขึ้น จริงใจต่อกัน อย่างเช่น ใครเจ็บหรือป่วยเราก็ไปหากันตลอดใครเดือดร้อนก็มาปรึกษาได้"


"ถ้าพูดถึงกลุ่มแก๊ง หากรวมตัวกันเฉยๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้ารวมตัวกันแล้วไปหาเรื่องตีคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยก็คงไม่ดี ปัญหาในกลุ่มของเราก็มีบ้างเช่น พูดหยอกล้อเล่นกันแต่อีกคนคิดจริง เลยเกิดการโกธรกัน แต่ไม่ถึงขั้นต่อยกัน เพราะสักสองสามวันมาเจอกันคุยกันได้ และหายโกรธ เดี๋ยวดื่มเหล้าด้วยกันก็ดีกันเองเพราะเวลาดื่มเหล้าพวกเราก็พูดกันแบบเปิดอกกันตลอด มันมีความจริงใจต่อกันดี"


นอกจากนี้พี่ก้องยังให้ข้อสังเกตว่าการรวมกลุ่มมีปัญหาบ้าง เช่น บางทีมีคนมาทุบตู้โทรศัพท์ทำลายทรัพย์สิน ไล่ตีกันบ้างทั้ง ๆ ที่กลุ่มของก้อง ไม่ได้ทำ แต่กลับมีคนมากล่าวหาว่าเป็นคนทำ


"เรื่องแฟนเป็นเรื่องไม่มีเวลาให้แฟนมัวแต่ไปดื่มเหล้ากับเพื่อน ส่วนการเรียนไม่ค่อยมีปัญหาเพราะไปเรียนวันอาทิตย์วันเดียว เราไม่ค่อยจะนัดกันเพราะถ้าเล่นฟุตบอลเสร็จแล้วก็จะมารวมตัวกันที่บ้านของผม เกือบทุกวันแต่ถ้าฝนตกหรือแฮ็งค์เหล้าก็มีบางคนที่ไม่มาแต่เราก็ไม่เคยมารวมตัวกันที่บ้านแล้วไปยกพวกตีใคร" เขาสะท้อนความรู้สึกเรื่องการปิดเธค


"แต่ถ้าเธคปิดหมดทุกที่ก็คงไม่ไปไหนคงดื่มเหล้าแถวบ้านหรือเข้ามาในตัวเมืองบ้างเพื่อมาดูสาวเพราะสาวก็ต้องมาดื่มเหล้าในเมืองอยู่แล้ว เรื่องนี้คงไม่มีใครช่วยได้คงต้องช่วยตัวเองก็เขาจัดมาอย่างนี้คงต้องทำตามเขาเพราะเราไม่มีอะไรไปเรียกร้องเขาได้"


พี่ก้องฝากทิ้งท้ายว่า ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงในกลุ่ม บางคนมีครอบครัว ทำงาน มีหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบเลยมีคนมาดื่มเหล้าด้วยกันน้อยลง ตัวก้องไม่มีผลกระทบอะไรเลย เพราะเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกัน ตอนนี้ก้องได้ทำกิจกรรมเข้าค่ายการอบรมเรื่องเอดส์ เป็นสิ่งที่ดีทำให้คนในกลุ่มมีกิจกรรมทำมากขึ้นและให้ความรู้ด้วย


"ผมอยากให้ผู้ใหญ่มองพวกผมในแง่ดีบ้างอย่าว่าให้กันเกินไป เวลามีเรื่องเสียหายก็มาลงที่เราตลอด ถึงเราจะมีประวัติไม่ค่อยดี แต่คนเราก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด พวกเราเป็นคนดีได้เชื่อเราเถอะครับ"


คนรอบข้าง
นอกจากก้องแล้ว ยังมีคำพูดของพี่ชายคนหนึ่งในชุมชนเดียวกันที่แสดงความรู้สึกกับก้องว่า


"ตอนนี้ได้ข่าวว่าก้องมันกำลังจะตั้งกลุ่มใหม่ พวกพี่ก็เตือนมันนะว่าจะทำอะไรให้คิดถึงพ่อ ถึงแม่ ถ้ามันอยู่บ้านมันดีนะ แต่ถ้ามันคบเพื่อน คบคนมาก เวลามีเรื่องมันต้องเอาเด็กที่บ้านไปช่วยเพื่อน"


"บ้านเพื่อนมันมีคนเอาขวดมาขว้างที่บ้าน พวกเขาก็เลยไปดักดูว่าใคร แล้วเมื่อรู้ตัวคนทำ แล้วเลยยกพวกไปตีพวกที่ทำ แต่ก้องเป็นคนดูแลเด็กในหมู่บ้าน เด็กเชื่อมันดีแต่อย่างพี่ ก้องมันต้องฟังพี่บ้าง จริง ๆ แล้วไม่มีอะไร เพียงแต่เวลาดื่มเหล้าคนอื่นเขาก็กินแถวบ้าน แต่ไม่เป็นแก๊งอะไรหรอก ไม่ไล่ฟันคนหรอก ยังไม่ถึงขั้นนั้น ส่วนใหญ่ตีกันเพราะเพื่อนมาขอให้ช่วย"


"อย่างก้องมันไม่ใช่แก๊งหรอก แต่มันรวมกันหลายหมู่บ้านเพราะมันรู้จักกัน เคยอยู่ เคยเรียนด้วยกัน เวลามีอะไรก็ขอกันไปช่วย อย่างเช่น กลุ่มเพื่อนบ้านนั้น มีคนเอาขวดมาขว้างก็บอกให้ไปช่วยดูเศษขวดเต็มถนนจึงมีความแค้น"


"มันรวมตัวกันไม่มีหัวหน้า แล้วก็เป็นแก๊งไม่ได้เพราะยังมีกำนัน ผู้ใหญ่ดูแลอยู่ แต่คนข้างนอกมองว่าเป็นแก๊งเพราะเห็นรวมตัวกันเยอะ แต่ไม่เคยไปจี้ ไปปล้นใคร คนในชุมชนส่วนใหญ่คิดว่าเก่งกับเด็กรุ่นน้องมันเป็นคนเกเร"


นอกจากพี่ชายแล้วลุงหมานคนข้างบ้าน คนในชุมชนได้เล่าว่ามีคนกล่าวโทษเด็กนั้น ที่จริงแล้วไม่เป็นความจริง ถ้าไม่ดี ก็ไม่ถึงขั้นฆ่าใคร แต่ถ้ามีเรื่องก็มีเรื่องเหมือนกันแต่ก็แค่ชกต่อยกัน


"ถ้ามีเรื่อง ชกต่อยกันควรว่าเป็นคนๆ ไป ไม่ควรเหมารวม เด็กบ้านนี้ถ้าจะตั้งแก๊งกันจริง ๆ พ่อแม่ของทุกคนคงไม่เห็นด้วย เมื่อก่อนลุงก็ไม่เคยอยู่แก๊งแต่ลุงก็เป็นคนไม่ดีถึงขั้นติดคุก แต่ถ้ามันโตมากกว่านี้ มีครอบครัว มันก็จะปรับตัวเรียนรู้ด้วยตัวมันเอง"