Skip to main content

ไปเป็นโยคีที่เมืองพม่า ตอนที่ 7

คอลัมน์/ชุมชน

ตอนค่ำ วันที่ 5 มิถุนายน

การมาเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่นี่ ทำให้ฉันรู้สึกตัวพองในบางที เพราะได้รับการดูแลอย่างพิเศษจริงๆ


เมื่อตอนมื้อเพล มีคู่แต่งงานมาทำบุญเลี้ยงพระ เจ้าบ่าวเจ้าสาวท่าทางจะเป็นคนมีเงิน ญาติที่มาด้วยคงสนิทชิดเชื้อกับที่นี่เป็นอย่างดี เธอคนหนึ่งอายุอานามคงราวห้าสิบ เข้ามานั่งข้างๆ แล้วหยิบถ้วยอาหารยื่นมาตรงหน้าทำท่าทางให้ฉันตักมันกิน ฉันจึงตักมาใส่จานอย่างช้าๆ (แน่นอนทุกอย่างที่ทำต้องช้าอย่างมีสติ) อย่างแรกฉันชิมไปแล้ว อย่างที่สอง เธอส่งมาอีก แล้วมองหน้าแบบไม่พูดไม่จา บุ้ยใบ้คล้ายกับว่าฉันต้องกินของเธอนะ เมื่อฉันตักมากินครั้งที่สอง เธอจึงยิ้มออก


การกินอาหารในห้องรวม พระภิกษุจะนั่งอยู่ส่วนหนึ่ง แม่ชี ภิกษุณี โยคี จะนั่งอีกส่วนหนึ่ง คนจำนวนนับร้อยคน ในสถานที่ไม่ใหญ่โต แต่ไม่คับแคบจนเบียดเสียด ต่างนั่งล้อมวงรอบโต๊ะเตี้ยๆ มีเบาะบางๆ รองนั่ง โต๊ะละสี่คน ฉันร่วมโต๊ะกับแม่ชีไทย อาหารสำหรับเราคือผัก บางวันจะมีอาคันตุกะ (โยคีขาจร) มาร่วมด้วย หากเขากินมังสวิรัติ


ยามรับประทานอาหาร ความเงียบยังคงอยู่ มีแต่เสียงภาชนะกระทบกัน และเสียงแม่ครัวกับหน่วยบริการ ที่อยู่ในส่วนข้างหลัง ที่คอยดูแลหยิบส่งอาหารมาวางให้บนโต๊ะ นอกจากนี้ ยังมีเวรของโยคีรับผิดชอบจัดโต๊ะถวายอาหารพระ ฉันและเพื่อนแม่ชีเวียดนาม รวมทั้งภิกษุณีต่างชาติ ได้รับหน้าที่หนึ่งวัน วันนั้นเราออกไปซื้อขนมพิเศษมาถวายด้วย


มีเรื่องที่น่าตื่นใจ (จิตฉันแกว่งไปเยอะทีเดียว) คือ หน่วยบริกร เป็นเหล่าเณร จะมาคอยดูแลอาหารบนโต๊ะไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ซึ่งมีพระภิกษุคอยยืนดู และส่งสัญญาณให้เณรนำอาหารมาเสิร์ฟเมื่อพร่องไป หรือยังขาดอยู่ นับเป็นการดูแลที่ฉันคาดไม่ถึงว่าจะมีอยู่บนโลกนี้ และที่ไม่อาจลืมยิ่งกว่านั้นก็คือ แมลงวันในเมืองพม่ามีมากเหลือเกิน ยิ่งฤดูนี้มีมะม่วงแบบมะม่วงแก้วบ้านเราขึนโต๊ะทุกวัน เณรน้อยหรือญาติโยมที่มาทำบุญต้องมาคอยยืนโบกพัดวีให้เราได้กินอาหารอย่างสบาย


อย่างน้อยก็ยืนยันว่า หากก้าวล่วงมาปฏิบัติธรรมที่นี่ เมื่อนั้นความเป็นเพศ เป็นชนชั้น จะหมดไป เหลือแต่ "การกระทำในปัจจุบัน" เท่านั้นเอง


อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ยืนยันได้ว่าคนปฏิบัติธรรมได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยม คือเมื่อเที่ยงวันนี้ ขณะที่ฉันกำลังกวาดขยะตามช่องทางเดินหน้าห้องพัก มีผู้หญิงผิวคล้ำร่างเล็ก แต่แต่งตัวสวย ประดับกายด้วยทองหยองและมณีสีขาวสีแดงมากกว่าคนทั่วไป รี่เข้ามาแย่งไม้กวาดที่มือฉัน บอกว่าขอให้เธอทำเองเถอะนะ แล้วเธอก็สัมภาษณ์ฉัน ด้วยคำถามยอดฮิต เช่นมาจากไหน มาอยู่นานเท่าไหร่ เป็นอย่างไรบ้าง ชอบไหม แล้วเธอก็บอกว่า เธอพาหลานสาวมาปฏิบัติ มาพักอยู่ในห้องตรงข้ามกับฉัน หลานอายุ 18 ปี สมควรมาปฏิบัติได้แล้ว ฉันเห็นเด็กสาวคนนั้นแว่บๆ ตอนเดินสวนทางกัน ท่าทางเป็นคุณหนูจริงๆ ร่างแบบบางผิวขาวผ่อง มากับเพื่อนอีกหนึ่งคน คุยกันเสียงดัง จนฉันแปลกใจว่า ทำไมไม่รู้จักกฏของที่นี่เลย อย่างน้อยก็น่าจะคุยกันเบาๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร จนมาเจอกับคุณยายของเธอ ที่กำลังสาธยายเรื่องราวด้วยเสียงอันดัง และกวาดพื้นด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง ฉันจึงถามว่า


"คุณมาปฏิบัติที่นี่เหมือนกันเหรอคะ"


"ใช่ค่ะ เรามาที่นี่กันทั้งครอบครัว สามีฉันก็มาปฏิบัติ ฉันเป็นภรรยาของท่านประธาน" ภรรยาของพลเอก ถ่าน ชเว... นี่นะ


โอ้...ฉันว่าฉันคงฟังไม่ผิดแน่ แต่ที่งงๆ เพราะท่าทางเธอไม่เหมือนภรรยาคนใหญ่คนโตที่ไหนๆ เลย เธอดูธรรมดามากๆ จนไม่ธรรมดา ตอนนั้นมีแค่เราสองคนเสียด้วย ฉันจึงไม่เห็นปฏิกริยาของคนอื่นที่มีต่อเธอ สิ่งที่ฉันต้องเชื่อว่าใช่ เพราะหลานสาวและเพื่อนของเธอมีอภิสิทธิ์กว่าคนพม่าคนอื่น คือได้พักในตึกนี้ (ไม่รู้ว่าฉันคิดถูกหรือผิดเรื่องอภิสิทธิ์ในการพักในตึกนี้ หากผิดพลาดก็ขอขมากรรม)


เดินเข้าไปในห้องน้ำ ภรรยาท่านประธาน ขัดห้องน้ำไว้ให้ด้วย

เอาล่ะเข้าเรื่องปฏิบัติ....วันนี้เป็นวันที่เสียสติมาก ความฟุ้งซ่านมีมาก แต่ยังอยู่ในอาการวิปัสสนา เพราะดูความฟุ้งที่หมุนเป็นพายุ ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราว แต่มันปั่นป่วนหาทางออก จึงเพ่ง เพ่ง เพ่ง จนที่สุด จิตมันรีดออกมากับลมหายใจ ที่ลึกที่สุด และผ่อนออกมาอย่างยาวนานที่สุด ในขณะที่นอนพักนิ่งๆในห้องนอนตอนเย็น จากนั้นทุกอย่างก็สงบเหมือนไม่เคยมี


แต่ที่ตลกตัวเองอีกรอบคือ เมื่อตอนบ่ายๆ แก่ๆ ขณะที่กำลังพยายามสงบแต่สงบไม่ได้ แค่ไอ้นกกาสองคน เอ๊ย สองตัว มันมาร้องโต้ตอบกันตรงยอดไม้ข้างหน้าต่างห้อง เสียงดังมาก ฉันสงสัยตัวเองว่า นี่ฉันเป็นอะไร ขนาดเสียงนกยังทนฟังไม่ได้ แต่พอเห็นความฟุ้งที่กระทุ้งอยู่ ก็ เฮ้อ...นี่เอง เชื่อไหม หลังจากที่กระทุ้งมันออกมาได้ เจ้านกนั่นก็จากจรไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ดู๊ มัน!!!!


และตอนนั้น ข้างบนหัวฉัน (ชั้นที่สาม) เจ้าหนุ่มแคนาเดียน(มั้ง) เดินซ้ายหนอ ขวาหนอ จนพื้นจะถล่มทลาย เขาคงเดินธรรมดาแหละ แต่จิตฉันมันวิ่งไปปรุงจังหวะเดินของเขาซะราวกับกำลังกรีฑาทัพ แต่ว่าผ่านไปสิบนาที เขาคงนั่งลง ไม่มีเสียงเดินตึงๆๆๆ อีกต่อไป


อ้อ...ฉันเขียนจดหมายสารภาพกับแม่แล้วล่ะ ว่าฉันมาปฎิบัติธรรมที่พม่า ไม่ใช่แค่ภาคเหนืออย่างที่บอก ฉันอยากให้เขาอนุโมทนาจิตกับฉันเท่านั้นเอง ฉันรู้ว่าผิดที่ไม่ขออนุญาต แต่ถ้าขอ เรื่องอาจยาว และฉันอาจไม่ได้มา


ในที่สุด ฉันก็ผ่านยกที่สองของตอนบ่าย (บัลลังค์ที่สองของการนั่ง) แค่เวทนาทางจิตอ่อนๆ เท่านั้นเอง ผ่านแล้วหนึ่งครั้ง แต่อีกยาวไกล ตอนแรกปวดจนเปลี้ย ถอนจากสมาธิฉับพลัน ต้องนั่งพิงเสาเหมือนแม่ชีเวียดนาม นั่งมองสายฝน ยอดไม้สีเขียว ตั้งใจจะเพ่งสีเขียว แต่จิตมันกลับมาวิปัสสนาเสียอีก ทีนี้ดูลมหายใจอีกครั้ง ดูอาการอึดอัดข้างใน เท่านั้นแหละ แตกโผละเลย เห็นแล้วขำตัวเอง อยากหัวเราะออกมาดังๆ ถ้าไม่กลัวรบกวนคนอื่น อือ มันแค่นี้เอง คำนี้พูดได้จากใจจริงๆ แต่ว่า แต่ว่า ยังมีอีกต่อไป


แว่บลงมาห้องน้ำ มาเขียนบันทึกถึงเธอ เดี๋ยวจะไปสู้ต่อ แค่คิดก็ขำแล้ว วันแรกๆ ที่มา อยากจะแว่บมานอนวันละหลายหน แต่เดี๋ยวนี้ใจอยากจะอยู่แต่ในห้องทำสมาธิ สมจริงอย่างที่เขาว่า การทำสมาธิทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข แต่ฉันว่าฉันกำลังเสพติดสมาธิ อ้อ...อาการข้างเคียง คือ ธาตุไฟบริเวณบั้นเอว ช่วยเยียวยาอาการปวดเอวให้แล้วจ้ะ


เธอที่รัก วันนี้ฉันเห็นซองจดหมายที่ขายในสำนักงานมาจากกรุงเทพฯ และอีกอย่างที่คันใจ คือน้ำยาซักผ้าขาวไฮเตอร์ มีภาษาอังกฤษเฉพาะคำว่าไฮเตอร์ นอกนั้นภาษาไทย เขาใช้ขัดห้องน้ำ (คือมันวางอยู่ในห้องส้วมที่ไม่มีอ่างให้ซักผ้าน่ะ เพราะเป็นห้องน้ำสำหรับห้องกรรมฐาน) และเครื่องกรองน้ำดื่มของตึกนี้ก็มาจากไทย (มีคนถวายท่านอาจารย์) ทุกคืนจะมีไอ้โม่งมารองน้ำทิ้งไว้ น้ำล้นขวดเจิ่งนองหน้าบันไดทุกคืน และไหลเข้ามาในตึก ฉันและแม่ชีเวียดนามต้องเป็นภารโรงคอยเช็ดน้ำทุกเช้า ใช้เวลาไม่น้อยแต่ก็รู้สึกดีที่ได้ทำที่เล่าให้ฟังเรื่องสิ่งของที่มาจากไทย ก็เพราะยืนยันว่า เราทั้งสองแผ่นดิน เป็นพี่น้องกันน่ะซี


ขณะนี้ฝนยังตกพรำๆ คงตกทั้งคืน ทุกคืน ฉันนอนหลับสนิทเหมือนถูกทุบทิ้ง นานแล้วที่ไม่ได้สุขล้ำลึกแบบนี้


6 มิถุนายน


เหตุเกิดเพราะยุง ....น่าสงสารเจ้ามดตัวเมื่อเช้า ไม่รู้ถูกบี้ไปเพราะมือฉันหรือเปล่า มันมากัดจี๊ดที่ต้นคอขณะที่เวทนาเริ่มเกิด จิตกำลังดิ่ง หะโห...ฉันปัดมันออกด้วยความรำคาญนิดๆ คงจะแหลก ได้แต่เสียใจและขออโหสิกรรม เท่านั้นแหละจิตก็ถอนออก พาลฟุ้งไปอีกว่า นี่ท่าจะมารตัวต่อมา เวลาอื่นไม่กัด มากัดตอนกำลังจะพบสัจจะธรรม คงทำเวรทำกรรมเอาไว้ล่ะมั้งเรา


แต่พอตอนเย็น เวลาที่จิตกำลังเล็งความเจ็บปวดอยู่ เจ้ายุงก็กัดหมับเข้าที่ขมับซ้าย เอ๋อ...รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย แต่บุญกุศลเป็นของยุง เพราะตอนนั้นจิตฉันยังพิจารณาความสุขที่เกิดจากความสงบในลมหายใจ พอความรู้สึกอีกขั้วหนึ่งวิ่งมา อ้อ...เท่านั้นแหละ ยุงได้กุศลไปเต็มๆ จากนั้นจึงวางเฉยเพ่งเวทนาได้นานพอที่จะเห็นตัวจิตที่ทุรนทุรายไม่อยากทุกข์(เพราะความเจ็บปวด) เอวัง.....จิตถอนออกมาแค่นั้น ไปต่อไม่ไหว ปวดจริงๆ ปวดจริงๆ


ที่จริงวันนี้ท้อแท้นิดหน่อย ตอนบ่ายท่าทางจะไปไม่รอด ดูเหมือนไม่พัฒนาเอาเสียเลย จึงถาม(กิเลส)มันว่า จะมา "เอา" หรือจะมา "ละ" อะไรๆ มันก็แกว่งไกวแบบนี้แหละ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายสลับวัน ไม่ใช่เพราะความคาดหวังเดิมๆแบบที่เคยเป็นหรือ อีกไม่กี่ปีก็แก่ตายแล้ว (ถ้าไม่ตายด้วยเหตุอื่นเสียก่อน) ไม่มีเวลาอ้อยสร้อยกับชีวิตแล้วนะ....หมดแรงหรือ นี่แน...อายุแค่นี้ว่าหมดแรง ปล่อยไปอีกห้าปี คงเดินจงกรมไม่ไหวแล้ว สติปัญญาก็ไม่ฉับไวอีกแล้ว รีบๆปฎิบัติซะดีๆ นั่นแหละ แทนที่จะนั่งพิงเสา มันจึงลุกขึ้นเดินต่อ สมาธิมาฉับๆ นับแต่นั้น


วันนี้ ท่านสะยาดอย้ำถึงสภาวะธรรมที่เกิดดับ ที่ฉันรายงานในประสบการณ์ แล้วบอกว่าให้เพิ่มคำภาวนา โดยเฉพาะคำว่า "สุขหนอ" ฉันเพิ่งจะถึงบางอ้อ การตามดูจิตที่ติดสุขในขณะลมหายใจสงบ เมื่อเกิดเวทนา สิ่งที่ตามมาอีกด้านหนึ่ง (ทวิภาวะ) คือภาวะที่ไม่สุขคือทุกข์ และไม่ชอบใจ นั่นเอง...