Skip to main content

พญามังรายส่งอ้ายฟ้าไปเมืองหริภุญไชย (4)

คอลัมน์/ชุมชน

เมื่อนั้น ชาวพ่อค้าเมืองหริภุญไชย (ลำพูน) ไปค้าขายเถิงเมืองฝางหลายนัก เจ้ามังรายจึงหาพ่อค้ามาถามดูว่า เมืองหริภุญไชยที่สูอยู่สมริทธีเป็นประการใด พ่อค้าทั้งหลายไหว้ว่า สมริทธีด้วยข้าวของมากนัก พ่อค้าทางบกทางน้ำเทียวมาค้า เมืองโยธิยาก็มา ชาวเมืองก็สมริทธีดีมาก พญาถามซ้ำว่า พญาเจ้าเมืองสูยังสมริทธีด้วยรี้พลช้างม้าข้าคนสรีสมบัติบ้านเมืองหรือ พ่อค้าทั้งหลายไหว้ว่า พญาเจ้า ในเมืองตูข้าโพ้นสมริทธีด้วยช้างม้าข้าคนมากนัก ทรัพย์สมบัติมากหลาย

พญามังรายได้ยินว่าเมืองหริภุญไชยสมริทธีนัก ใคร่ได้มาเป็นเมืองตน จึงเจรจากับเสนาทั้งหลายว่า ทำอย่างไรจักได้มาเป็นเมืองเรา เสนาทั้งหลายไหว้ว่า เมืองหริภุญไชยนั้น มีเดชาอานุภาพนัก ในเมืองมีอารักษ์เสื้อบ้านเสื้อเมือง (1) รักษาปกป้อง ยากนักจักปองเอาเมือง เมื่อนั้นยังมีขุนผู้หนึ่งชื่ออ้ายฟ้า (2) พญามังรายเลี้ยงให้เป็นนายหนังสือและเก็บส่วย เป็นคนเฉลียวฉลาดนัก อ้ายฟ้าไหว้พญา ว่าเจ้าเหนือหัวใคร่ได้เมืองหริภุญไชยมาเป็นเมืองเจ้า บ่ยาก


เหตุใดมึงว่าบ่ยาก เมืองนั้นสมริทธีด้วยรี้พลผู้แกล้วผู้หาญมากนัก พญาว่า

อ้ายฟ้าไหว้พญาว่า เราจักรบเอาด้วยกำลังรี้พลโยธาบ่ได้ จักรบเอาด้วยปัญญายุทธ เถ้าฟ้าเหย คำมึงว่าจักปองเอาด้วยอุบายนั้นฉันใดเล่า อ้ายฟ้าไหว้ว่า คำอันจักกล่าวนั้น ไป่ควรสำแดงในที่ชุมนุม ควรสำแดงแก่มหาราชเจ้าที่สงัด


เถิงยามสงัด อ้ายฟ้าเข้าเฝ้าพญา แล้วไหว้ว่า ขอให้เจ้าเหนือหัวว่าข้าเถ้านี้ทำผิดอาชญาอย่างหนึ่งอย่างใด แล้วริบเอาครอบครัวลูกเมียช้างม้าข้าคนข้าวของให้หมด แล้วขับหนีจากเมืองเจ้าเหนือหัว ให้เพียงข้าวของเล็กน้อยกับคนพอใช้สอย ข้าเถ้าจักหนีไปพึ่งพญายีบาเมืองหริภุญไชย แล้วว่าข้าเถ้าบ่มีโทษอันใดสักอย่าง เจ้าพญามัง-รายฟังคำว่าข้าผิดอาชญาแล้วริบครอบครัวลูกเมียข้าวของ แล้วขับข้าหนี ข้าก็มาพึ่งสมภารเจ้าเหนือหัว แล้วพญายีบาก็จักเชื่อคำข้าเถ้า ที่นั้น ข้าจักทำให้ชาวเมืองเชื่อคำ ทำอุบายให้ชาวเมืองไม่ยินดีกับพญายีบา และให้ยินดีด้วยบุญสมภารเจ้าเหนือหัว เมื่อใดข้าทำให้ชาวเมืองเชื่อได้แล้ว จักให้คนมาไหว้สาเจ้าเหนือหัว ให้ยกรี้พลไปปล้นเอาทีนั้น เจ้าเหนือหัวก็จักได้เป็นพญาในเมืองหริภุญไชย


เจ้ามังรายได้ยินคำอุบายอ้ายฟ้าก็ยินดีว่าชอบอยู่ แล้วเจ้าพญามังรายทำเพทุบาย ริบเอาครอบครัวข้าวของเงินคำอ้ายฟ้าทุกอย่าง แล้วขับหนีจากเมือง ในปีกาบเส็ด สกราชได้ 636 ตัว อ้ายฟ้าก็หนีไปพึ่งพญายีบาเมืองหริภุญไชย



ภาพถ่ายกำแพงเมืองลำพูนด้านประตูลี้ไปทางอำเภอป่าซาง


ขุนเครื่องกบฏต่อพญามังราย


อ้ายฟ้าหนีไปเถิงพญายีบา ก็บอกไปตามอุบายแห่งตน ภายหลังเมื่ออ้ายฟ้าไปแล้ว เจ้ามังรายให้ลูกตนเจ้าขุน-เครื่องผู้พี่อ้ายอยู่รักษาเมืองเชียงราย เจ้าพญามังรายก็เอารี้พลลงมาเสวยราชสมบัติในเมืองฝาง อยู่ได้ 1 ปี เจ้ามังรายอายุได้ 37 ปี เจ้าขุนเครื่องผู้ลูกอายุได้ 13 ขุนครามผู้กลางได้ 10 ปี ขุนเครือผู้สุดท้องได้ 6 ปี


ขุนเครื่องอยู่เมืองเชียงรายว่า พ่อกูไปรบเอาบ้านเมืองได้สองเมืองสามเมือง ก็บ่ให้กูกินสักเมือง ยังมีขุนไสเรียงข้าเก่าเป็นใจกับขุนเครื่อง พากันขับคนเข้าแข็งเมืองอยู่ในเมืองเชียงราย หมายจักชิงพ่อตนกินเมืองนั้นแล เมื่อนั้นเจ้ามังรายอยู่เมืองฝางรู้ข่าวว่าขุนเครื่องกับไสเรียงสมคบกัน จึงคิดว่ากูผู้เป็นพ่อยังไป่ไปสู่ปรโลก ยังเป็นผู้มีอานุภาพปราบบ้านเมืองทั้งมวล ขุนเครื่องนั้นมีบุญน้อย จักชิงกูกินเมือง กูจักพึ่งอุบายเอามันให้ได้


พญามังรายหาข้าเก่าชื่อขุนอ่อง แล้วแต่งอุบายว่า ให้ขุนอ่องไปหาขุนเครื่องยังเมืองเชียงรายว่า พ่อเจ้า (พญามังราย) ฝันหันเจ้ากู (ขุนเครื่อง) เป็นปีกบินไปในอากาศเป็นเพื่อนนกแหลวไปจับซากผี พ่อเจ้าร้อนใจนัก กลัวว่าเจ้ากูตายไปเกิดท้องผี จึงให้เจ้ามาหาเจ้ากูเพื่อผูกมือทือขวัญให้อยู่มั่นยืนยาว (3) ขุนอ่องรับคำเจ้ามังรายแล้วไปหาขุนเครื่องบอกตามคำทุกอย่าง ขุนเครื่องได้ยินคำอุบายนั้นแล้วคิดว่า พ่อกูก็ยังรักกูหนอ แล้วขึ้นขี่ช้างมากับขุน-อ่อง เมื่อนั้น เจ้ามังรายบังคับชายผู้หนึ่งยิงหน้าไม้แม่นนักชื่ออ้ายเผียน ถือหน้าไม้ไปดักอยู่ข้างทาง เมื่อขุนอ่องนำขุนเครื่องขี่ช้างมา อ้ายเผียนก็เอาหน้าไม้ยิงขุนเครื่องตาย ในที่ขุนเครื่องตายนั้น เป็นที่ราบงามนัก จึงสร้างที่นั่นเป็นเวียงเรียกว่าเมืองยิงจนบัดนี้ (4) เจ้าพญามังรายจึงว่าขุนเครื่องได้คบผู้ร้ายก็เป็นไปตามกรรม เจ้ามังรายเอารี้พลไปส่งสะกานขุนเครื่องยังเมืองเชียงราย แล้วเจ้าก็เสวยสมบัติยังเมืองเชียงราย



ภาพถ่ายคราวเจ้าพระยาวงศานุประพันธ์ตรวจการมณฑลพายัพ ปีพ.. 2459
สำเนาภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
www.haripoonchai.com


กาลนั้น ยังมีพญาแกวผู้หนึ่งชื่อท้าวแก่นพงสา เป็นลูกท้าวผาเรืองแม่นคำขา เป็นหลานเจ้าพญาเจือง ได้เป็นพญาแทนพ่อยังเมืองแกวพระกัน รู้ข่าวว่าเจ้าพญาในเมืองลวราช (5) เชียงรายโพ้นเป็นเชื้อสายเผ่าพันธุ์เดียวกัน ได้ยินข่าวว่าท่านจักละบ้านเมืองไว้จักไปเอาเมืองหริภุญไชย


กูยังรำพึงต่อเจ้าพญามังรายอันเป็นเชื้อชาติแห่งกู ใคร่ไปเยี่ยมยามถามข่าวลุงตา และเอาเครื่องอุตตมภิเสกไปอภิเสกอากูให้อยู่มั่นกินยืนมีเดชานุภาพมากนัก


เสนาทั้งหลายว่าคำเจ้าเหนือหัวคิดนั้นควรนักแล แล้วเจ้าพญาแก่นพงสาให้แต่งเอาเครื่องราชภิเสกกับหอยสังข์ทักขิณาวัฎฎ์กระหวัดเกี้ยวขวา แล้วแต่งลูกตนให้รักษาเมือง แล้วพร้อมด้วยบริวารมาตั้งทัพอยู่ริมแม่น้ำโขงสบแม่น้ำชัน (6) แล้วใช้อามาตย์ผู้หนึ่งมาไหว้เจ้ามังรายว่า หลาน เจ้าพญาแก่นพงสา ลูกท้าวผาเรืองแม่นคำขา หลานเจ้าพญาเจือง เอาเครื่องอุตตมภิเสกมากระทำมุทธาภิเสกเจ้าเหนือหัว (7) เจ้าพญามังรายรู้คำก็ยินดีมากนัก ให้แต่งบรรณาการของฝากไปต้อนรับ กับเลี้ยงดูรี้พลทั้งหลายด้วยข้าวเหล้าชิ้นปลาอาหารมากนัก อยู่สองวันสามวัน เถิงวันดี เจ้าพญาแก่นพงสาก็มากระทำมุทธาภิเสกเจ้าพญามังราย เจ้าพญาแก่นพงสาก็ถวายพรบวรยิ่งว่า ชยตุ ภวัง มหาราชเจ้าจุ่งชนะข้าศึกทั้งมวลในทิศานุทิศ ตั้งอยู่ด้วยราช จำเริญราชสมบัติ ปรารถนาสิ่งใดจุ่งสมริทธี จุ่งหื้อมีสรีทีฆาอายุมั่นยืนยาวร้อยซาวกว่าพระวัสสา


เจ้าพญาแก่นพงสาเจรจากับเจ้าพญามังรายว่าปู่หม่อนแห่งข้าเจ้า เจ้าพญาเจืองเป็นพญาปราบในเมืองลวราช แล้วไปปราบเมืองแกวเสวยราชสมบัติในเมืองแกว มีลูกหลานสืบมาเถิงตัวข้า เป็นเชื้อชาติวงสาเดียวกันกับเจ้าเหนือหัว เชื้อชาติแห่งอาน้องพ่อข้า ผู้หนึ่งชื่อยี่คำห้าวไปเป็นพญาในเมืองล้านช้าง ผู้หนึ่งชื่อท้าวชุมแสง เป็นผู้น้อง ไปเป็นพญาในเมืองนันทบุรีเมืองน่าน ตัวข้าเป็นลูกท้าวผาเรืองแม่นคำขากินเมืองแกวพระกัน พ่อข้าไปสู่ปรโลกแล้วข้าได้เป็นพญาแทนพ่อ พญาห้อเจ้าลุ่มฟ้า เอาพญาทั้งหลายมาอภิเสกข้ายังพูเหิดให้เป็นพญาใหญ่ปราบเมืองแกวทั้งมวล เป็นดังพญาห้อเจ้าลุ่มฟ้าเพาภิมานอภิเสกพ่อข้าปู่ข้าเจ้าพญาเจือง


แล้วเจ้าพญาแก่นพงสาอำลาเจ้าพญามังรายราชตระกูลแห่งตน เมือไปเสวยราชสมบัติในเมืองแกวมาจนบัดนี้ ย่อมเป็นเชื้อชาติลวจงกราชสืบสืบมา


"ท้าวพญาทั้งหลายคือเมืองห้อ เมืองแกว เมืองแมนตาทอกขอกฟ้าตายืน ย่อมกลัวขามพญาหนลาวเรามากนัก เหตุเจ้าพญาเจืองได้ไปทำสงคราม ฆ่าพญาแกวชื่อท้าวกวาตาย แล้วได้เป็นพญาในเมืองแกวพระกันปราบเมืองแกวทั้งมวล เตชานุภาพอันแกล้วหาญยังตั้งอยู่ตราบจนบัดนี้ พญาห้อ พญาแกว พญาแมนตาทอก ยังกลัวขามเมืองลาวจนบัดนี้ นิทานตำนานพญาแกว ชื่อท้าวแก่นพงสามากระทำราชภิเสกพญามังราย ก็จบเท่านี้" (8)


----------------------


สรุปถอดความจากหนังสือ "ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่" โดย อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว และ เดวิด เค วัยอาจ (David K. Wyatt) พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ซิลค์เวิอร์มบุ๊คส์ 2543


คำอธิบายเพิ่มเติม โดยอรุณรัตน์




  1. อารักษ์เสื้อบ้านเสื้อเมือง หมายถึง เทวดาอารักษ์เมือง รณี เลิศเลื่อมใส กล่าวว่า ตามระบบความเชื่อของไทอาหม คำว่า "เสื้อ" คือเทวดา ที่ทำหน้าที่เป็นอารักษ์ประจำถิ่น ในเมืองหนึ่งมีเสื้อได้มากมาย หากมี "เสื้อเมืองใหญ่" หรืออารักษ์ใหญ่ประจำเมืองอยู่ตนเดียว



  2. อ้ายฟ้า เป็นชาวลัวะ ดู ทิว วิชัยขัทคะ และไพฑูรย์ ดอกบัวแก้ว ตำนานมังรายเชียงใหม่และเชียงตุง



  3. ผูกมือทือขวัญ เป็นพิธีผูกข้อมือด้วยด้าย และจะเรียกขวัญเพื่อให้มีความสุขพ้นจากเคราะห์ต่างๆ ปัจจุบันยังถือปฏิบัติอยู่ทั่วไปในล้านนา ดู มณี พยอมยงค์ ประเพณีสิบสองเดือนล้านนาไทย



  4. ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมืองยิงตั้งอยู่ที่ใด สันนิษฐานว่าน่าจะตั้งอยู่บนเส้นทางระหว่างฝางและเชียงราย ปัจจุบันมีวัดร้างชื่อวัดเวียงยิง หรือกู่ยิง ที่บ้านทุ่งน้อย ตำบลบ้านโป่ง อ.พร้าว เชื่อกันว่าเป็นบริเวณที่ขุนเครื่องถูกยิง ดู โกศล ปราคำ (บรรณาธิการ) เวียงพร้าว-วังหิน และจากการสำรวจวัดเวียงยิง มีซากเจดีย์องค์หนึ่งอยู่ สันนิษฐานว่ามีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 (อรุณรัตน์ สำรวจ 25 .2546)



  5. เมืองลวราช หรือ ลวรัฐ มีความหมายเดียวกัน



  6. สบแม่ชัน หรือ สบแม่จัน เป็นบริเวณที่แม่น้ำแม่จันไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย



  7. พระราชพิธีมุทธาภิเสก ดู Ryuji Okudaira, "A Study on a Mythology of ‘Kingship’ Describe in Manugye Dhammathat: Significance of Muddha or Supreme Coronation Ceremony," Southeast Asian Studies, pp. 65-83



  8. ผู้เขียนตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ (ต้นฉบับใบลาน) ใช้นิทานตำนานพญาแกว เป็นหลักฐานในการเขียนตอนนี้